ทำไมหมอถึงเลือกดื่มน้ำเปล่า มากกว่าน้ำวิตามิน?

ทำไมหมอถึงเลือกดื่มน้ำเปล่า มากกว่าน้ำวิตามิน?

บทความโดย
พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)
Twitter, Instagram: @thidakarn

น้ำวิตามินเป็นเทรนด์ฮิตในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ราว 10 ปีก่อน แต่เพิ่งมาฮิตมากๆ ในเมืองไทยช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ส่วนตัวหมอเอง น่าจะจัดว่าตกกระแสอย่างแรง เพราะไม่เคยซื้อมาดื่มเลยสักครั้ง จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีโอกาสดื่มเป็นครั้งแรก เพราะออฟฟิศที่ประชุมงานไม่มีน้ำเปล่าให้พนักงานดื่ม มีแต่น้ำวิตามินแช่อยู่เต็มตู้เย็น!

“รสมันแปร่งๆ” คือความรู้สึกแรกเมื่อได้จิบ หมอจึงพลิกดูฉลากว่าในน้ำนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง พบส่วนประกอบที่ระบุคือ น้ำ วิตามินบี เกลือ สารควบคุมความเป็นกรด ซูคราโลส และแต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ (Artificial Flavors)

จุดขายของน้ำวิตามินคือความรู้สึกว่าดื่มแล้วดีต่อสุขภาพ เพราะวิตามินสังเคราะห์ที่ถูกเติมลงไปจะช่วยชดเชยวิตามินที่ขาดหายให้กับร่างกาย เรามาดูข้อเท็จจริงในประเด็นนี้กันค่ะ

วิตามินที่ถูกบรรจุในน้ำวิตามินตามท้องตลาดส่วนใหญ่คือ วิตามินบีและวิตามินซี ซึ่งสำหรับคนวัยทำงานที่รับประทานอาหารได้ปกติ ไม่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการดูดซึมอาหาร ไม่มีข้อบ่งชี้ที่จะต้องรับประทานวิตามินเสริมเป็นประจำ (ยกเว้นคนรับประทานมังสวิรัติซึ่งมีโอกาสขาดวิตามินบี12 ได้)

วิตามินแต่ละตัวจะมีค่า RDA (Recommended Dietary Allowance) คือปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน พบว่าน้ำวิตามินบางแบรนด์ แค่ดื่มหนึ่งขวดก็จะได้รับวิตามินเกินกว่าค่า RDA ไปเท่าตัว หากดื่มแทนน้ำเปล่าวันละหลายขวด ก็จะได้รับวิตามินไปเกินกว่าค่าที่ควรได้รับมาก ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบในระยะยาวหากร่างกายได้รับปริมาณวิตามินที่เกินกว่ากำหนดต่อเนื่องนาน

น้ำวิตามินบางแบรนด์ มีความหวานจากน้ำตาล ซึ่งแน่นอนว่า Added Sugar หรือน้ำตาลที่เพิ่มเติมลงในอาหารและเครื่องดื่มที่เราบริโภคในแต่ละวันนั้น หากมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุง เบาหวาน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) อื่นๆ ได้ ในขณะที่น้ำวิตามินบางแบรนด์ใช้ความหวานจากสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล ซึ่งดูเผินๆ เหมือนจะดีกว่า แต่งานวิจัยในปัจจุบันยังคงตั้งคำถามกับสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล โดยเฉพาะในสองประเด็น หนึ่งคือการรบกวนสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ซึ่งประชากรแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่นั้นมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและการดูดซึมสารอาหาร การเสียสมดุลของประชากรแบคทีเรียจะส่งผลกระทบต่อสองระบบนี้ได้ สองคือ การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาล จะเป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงลดน้ำหนักหรือไม่ เพราะพบว่าสมองยังคงเสพติดความหวานและกระตุ้นให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้นได้

ส่วนประกอบสุดท้ายคือ สารเคมีต่างๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อ แต่ถูกเรียกรวมกันว่า Artificial Flavors หรือสารปรุงแต่งกลิ่นรสให้เหมือนหอมหวานเหมือนเครื่องดื่มตามธรรมชาติ ซึ่งสารเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบว่าปลอดภัย ณ ปัจจุบัน แต่หากเรามองย้อนหลังไปจะพบว่า สารเติมแต่งอาหาร หรือ Food Additives จำนวนมากที่ผ่านการตรวจสอบจนถูกนำมาใช้ไปสักพัก กลับถูกแบนและห้ามใช้ในเวลาต่อมาเมื่อพบผลเสียต่อสุขภาพที่ตามมาภายหลัง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเพิ่งประกาศห้ามใช้สารแต่งกลิ่นรสที่พบได้บ่อย 6 ตัว (Benzophenone, Ethyl Acrylate, Eugenyl Methyl Ether (Methyl Eugenol), Myrcene, Pulegone, Pyridine)

ในแง่ความเสี่ยงต่อสุขภาพของน้ำวิตามินนั้น ยังไม่พบว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ชัดเจน ณ ปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเสี่ยงใดๆ

สรุปได้ว่า ในแง่ความเสี่ยงต่อสุขภาพของน้ำวิตามินนั้น ยังไม่พบว่ามีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ชัดเจน ณ ปัจจุบัน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความเสี่ยงใดๆ เพราะยังมีประเด็นทางสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของการรับประทานวิตามินเสริมปริมาณสูงระยะยาว สารให้ความหวานแทนน้ำตาล และสารแต่งกลิ่นเลียนแบบธรรมชาติ ที่ต้องรอการพิสูจน์ในระยะยาวต่อไป แต่สำหรับคนที่ตั้งใจจะดื่มน้ำเพื่อดูแลสุขภาพนั้น หมอแนะนำว่า

  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
  • เน้นรับประทานวิตามินจากอาหารจริงๆ วิตามินบีมีในธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ปลา ไข่ ไก่ โยเกิร์ต นม ส่วนวิตามินซีมีในผักผลไม้ต่างๆ
  • ถ้าสงสัยว่าขาดวิตามิน มีอาการอ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
  • กฎสำคัญสำหรับการกินอาหารเพื่อสุขภาพคือ เน้นกิน ‘Real food’ หรืออาหารจริงๆ ไม่ใช่อาหารสังเคราะห์ แปรรูป หรือปรุงแต่ง
  • สำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำที่มีรสชาติ ดื่มเป็นน้ำผักผลไม้ปั่น ไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม จะได้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ

หวังว่าข้อมูลที่นำมาฝาก จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านวารสารการเงินการคลังทุกท่านนะคะ เมื่ออ่านจบแล้วเลือกที่จะดื่มน้ำวิตามินต่อเพราะชอบในรสชาติ หรือเปลี่ยนใจไม่ดื่มต่อ ก็แล้วแต่การตัดสินใจส่วนบุคคล ส่วนตัวหมอนั้น ชอบน้ำเปล่ามากกว่า ทั้งในแง่รสชาติและผลต่อสุขภาพค่ะ 😊

อ้างอิง

  1. Ruiz-Ojeda, Francisco Javier, et al. “Effects of sweeteners on the gut microbiota: a review of experimental studies and clinical trials.” Advances in Nutrition 10.suppl_1 (2019): S31-S48.
  2. Swithers, Susan E., and Jane Shearer. “Obesity: sweetener associated with increased adiposity in young adults.” Nature Reviews Endocrinology 13.8 (2017): 443-444.
  3. Chia, Chee W., et al. “Chronic low-calorie sweetener use and risk of abdominal obesity among older adults: a cohort study.” PloS one 11.11 (2016): e0167241.
  4. https://sites.uci.edu/morningsignout/2016/05/04/vitaminwater-pros-and-cons/
  5. https://www.fda.gov/food/cfsan-constituent-updates/fda-removes-7-synthetic-flavoring-substances-food-additives-list
พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)
ผู้เขียน
หมอที่ขี้เกียจเหมือนแมว ออกหนังสือมา 16 เล่ม เพราะอยากให้คนไทยสุขภาพดี
จะได้ไม่มีคนไข้ให้แมว..เอ้ยหมอตรวจ ^ IG : @thaidakarn