Export Goods: Plants and Animal Products in the Siam Economy between the 19th and 20th centuries
ชัยวัฒน์ ปะสุนะ
ผู้เขียน
เมื่อกางแผนที่โบราณของเหล่านักเดินเรือตะวันตกหลายชาติที่เดินทางออกสำรวจเส้นทางการค้าทางทะเลมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่าสยามเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งหนึ่งท่ามกลางเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่ยุคการค้าสมัยโบราณ อาจกล่าวได้ว่าฐานรากสำคัญของประเทศสยามล้วนสัมพันธ์กับการค้าขาย อันเป็นปัจจัยเชื้อเชิญให้เหล่าบรรดาพ่อค้าวาณิชย์หลากกลุ่มหลายภาษาเข้ามาติดต่อค้าขาย จึงส่งผลให้สยามเป็นเมืองพหุวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และยังคงเป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) อันเป็นช่วงรอยต่อของการปฏิรูปประเทศ น่าสนใจว่าในสมัยดังกล่าวสินค้าสำคัญของสยามประเทศจะมีรูปแบบ หรือประเภทสินค้าชนิดใดบ้าง
แม้ว่าสยามประเทศเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างการเมืองการปกครองภายใน อีกทั้งการปะทะอิทธิพลจากเจ้าอาณานิคมภายนอก เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่โดดเด่นและได้รับการเน้นความสำคัญมาก กระทั่งลดบทความการศึกษารูปแบบการค้าและวิถีเศรษฐกิจลงไปด้วย เศรษฐกิจและการค้ายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศการเมืองการปกครองที่สถานะของรัฐจารีต (Traditional State) เศรษฐกิจการค้าถือเป็นฐานรากสำคัญที่สร้าง “ความมั่นคง” และ “ความมั่งคั่ง” ให้แก่รัฐบาลสยาม ในการขับเคลื่อนประเทศและใช้จ่ายเป็นเงินงบประมาณบริหารราชการแผ่นดิน จึงอาจกกล่าวได้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จในการพัฒนาสยาม ส่วนหนึ่งมาจากคุณูปการของการค้าและภาษีที่เรียกเก็บได้จากสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจ
การเข้ามาของลัทธิล่าอาณานิคมส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจของสยามให้เฟื่องฟูขึ้นหลายเท่าตัว ดังจะเห็นได้จากการปรับรูปแบบการค้าที่เน้นการส่งออกและค้าขายในปริมาณมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป โดยเฉพาะความสำเร็จในการใช้เหล็กและพลังงานไอน้ำ (Mohajan, 2019, p. 380) ทำให้การขนถ่ายสินค้าโดยเรือกลไฟเติบโตขึ้นตามลำดับ ชาวตะวันตกหลายชาติจึงออกสำรวจและแสวงหาเครือข่ายการค้าทางทะเลและได้ล่องเรือเข้ามาค้าขายยังประเทศสยาม เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา เยอรมัน ฯลฯ (รายวันเรือเข้าเรือออก, 2427, หน้า 288) ฉะนั้นคู่ค้าสำคัญของสยามประเทศในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20 ส่วนใหญ่เป็นมหาอำนาจตะวันตก หรือเจ้าอาณานิคมทั้งหลายที่เข้ามาแสวงหาทรัพยากรและครอบครองรัฐพื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอาณานิคม
“เศรษฐบริบท” : ความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม และวิสัยทัศน์รัฐบาล
สภาพเศรษฐกิจและสังคมสยามภายใต้รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ (รัชกาลที่ 5)ในช่วงที่ดำเนินการปฏิรูปประเทศสยาม (Siam Restoration) ได้ดำเนินการไปอย่างรอบคอบ ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลสยามมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารรัฐกิจในหลากหลายมิติ โดยมีข้อจำกัดภายใต้การขาดแคลนทรัพยากรบุคคล ในช่วงเดียวกันนั้นหากกล่าวเทียบเคียงในทวีปเอเชีย เช่น ประเทศญี่ปุ่นปฏิรูปประเทศสมัยเมจิ (Meji Restoration) ผลจากการปฏิรูปประเทศของญี่ปุ่นส่งผลให้ญี่ปุ่นได้รับการพัฒนาในเชิงอุตสาหกรรม อีกทั้งส่งผลต่อพัฒนาการทางการเมืองญี่ปุ่นก่อเกิดรัฐสภาและพรรคการเมืองขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1889 เป็นต้นมา
การจัดเก็บภาษีด้วยระบบเงินตราก่อให้เกิดความมั่งคงทางการเงินของรัฐบาลได้อย่างมาก โดยเฉพาะภาษีซึ่งเรียกเก็บได้จากราษฎรโดยตรง และตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอีกปัจจัยด้านข้อจำกัดในช่วงเปลี่ยนผ่านรูปแบบการจัดเก็บภาษีแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ กล่าวคือ วิธีการจัดเก็บภาษีแบบดั้งเดิมจัดเก็บในรูปแบบผลผลิตและสินค้าโดยตรง เช่น การเก็บภาษีแบบ 10 ชัก 3 หมายถึง สินค้าจำนวน 10 ส่วน ต้องจัดแบ่งให้กับรัฐบาล 3 ส่วน เป็นต้น แตกต่างไปจากการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบเงินตราเรียกว่า การเก็บเงินค่า “รัชชูประการ” ซึ่งได้เข้ามาทดแทนระบบการเข้าเดือน-ออกเดือน โดยราษฎรมีหน้าที่เสียภาษีให้แก่รัฐเพื่อใช้ในกิจการพัฒนาประเทศ อันมีส่วนสัมพันธ์กับการปฏิรูปเศรษฐกิจ และภาษีของประเทศอีกด้วย
การปฏิรูปประเทศด้านภาษีเริ่มดำเนินการอย่างเข้มข้นตั้งแต่ ค.ศ. 1892 การศึกษาและงานวิจัยของศาสตราจารย์ ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร ระบุว่าจีดีพีของประเทศสยามเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญถึง 1 เท่าตัว กล่าวคือจากเดิมจีดีพีที่อยู่ประมาณ 5,600 ล้านบาท ทะยานขึ้นไปสูงถึงประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้สัมฤทธิ์ผลจากการปฏิรูปการปกครอง ส่งผลให้รัฐบาลสยามสามารถเรียกจัดเก็บภาษีได้อย่างมหาศาลถึง 10 เท่าตัว กล่าวคือจากเดิมเก็บภาษีได้ประมาณ 7.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึงประมาณ 14.4 ล้านบาท ส่วนภาษีที่ดินจากเดิมสามารถจัดเก็บได้ในอัตราร้อยละ 6 ซึ่งตอนปลายรัชสมัยสามารถจัดเก็บในอัตราร้อยละ 11 และการจัดเก็บเงินรัชชูประการจากราษฎรรายบุคคลคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.9 ของเงินภาษีทั้งประเทศ (สมาน สุดโต, 2554ก)
เมืองท่าทางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของสยาม คือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมหานครแห่งนี้นอกจากจะได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงของประเทศแล้ว ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่เป็นชุมทางการค้าสำคัญ โดยมีบทบาททางเศรษฐกิจ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) แหล่งรวบรวมสินค้าจากบรรดาหัวเมืองภายในประเทศ และ 2) แหล่งกระจายสินค้าทั้งในฐานะจุดรับสินค้าขาเข้า และจุดส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ เป็นต้น ภาษีโดยรวมของประเทศในภาคกิจการส่งออกและนำเข้าสินค้าที่รัฐบาลสามารถจัดเก็บได้คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของการจัดเก็บภาษีทั่วประเทศสยาม
กระบวนการค้าของสยามล้วนแต่สัมพันธ์กับวิถีการค้าทางทะเลและภูมิรัฐศาสตร์ของเมืองปากแม่น้ำ ฉะนั้นการค้าขายจึงอาศัยการขนถ่ายทางเรือและการขนส่งทางพาณิชย์นาวีเป็นสำคัญ ภาพรวมจากรายงานการค้าซึ่งระบุชนิดสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจ จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลสยามในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สามารถสรุปการจัดแบ่งประเภทสินค้าได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) พฤกษวัตถุ และ 2) สัตว์วัตถุ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) พฤกษวัตถุ (Plant products)
สืบเนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของประเทศสยาม และสภาพอากาศของเมืองในเขตร้อนชื้น จึงส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของสยามที่รายรอบไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ เนื่องความเหมาะสมของที่ตั้ง ทำให้ผืนแผ่นดินแห่งนี้สามารถสั่งสมเอาความชุ่มชื้นทำให้าไม้ในดินแดนแถบนี้เขียวขจี และพืชพรรณมีความหลากหลาย การอาศัยอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผู้คนในประเทศสยามสามารถเรียนรู้ และเลือกสรรนำเอาทรัพยากรป่าไม้มาใช้ประโยชน์ ทั้งทางด้านการนำมาใช้สอยในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการรวบรวมเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ สินค้าในหมวดหมู่พฤกษวัตถุล้วนแต่เป็นสิ่งของที่มีมูลค่า ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะพืชพรรณนานาชนิดที่เติบโตขึ้นบนผืนดินและป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ทั่วทั้งอาณาจักรสยาม
รายการสินค้าสำคัญจากพืชได้มาจากการเข้าไปหาในป่า หรือเรียกโดยทั่วไปว่าเป็น “สินค้าของป่า” รูปแบบและชนิดสินค้าที่มาจากป่าที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความอุมดมสมบูรณ์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องของลักษณะการค้าของประเทศสยาม อันเป็นสิ่งที่มีความเฉพาะและคุ้นเคยกับการนำสินค้าจากป่ามาขาย รวมไปถึงแสดงให้เห็นถึงเครือข่ายการค้าของสยามที่มีความต่อเนื่องมาจากระบบการค้า และบรรณาการของหัวเมืองประเทศราชเดิมในอดีต ซึ่งในช่วงรัชกาลที่ 5 รัฐบาลสยามสามารถสถาปนาอำนาจในการปกครองบรรดาหัวเมืองประเทศราช โดยที่รวมศูนย์กลางอำนาจการปกครองภายใต้รัฐบาลสยามโดยตรง รายการสินค้าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่
รง คือ ยางไม้ลักษณะเหนียว มีสีเหลือง มีความสำคัญต่องานประเภทจิตรกรรมและหัตกรรม โดยส่วนใหญ่นิยมนำมาเป็นส่วนผสมของน้ำยาหรือสีสำหรับวาดหรือเขียนลาย เช่น งานประดับตกแต่งน้ำยารงกับทองคำเปลว เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบการใช้ยางรงสำหรับเคลือบผิวไม้
เร่ว เป็นพืชตระกูลล้มลุก ส่วนที่นิยมนำมาใช้ คือ ส่วนรากหรือเหง้า โดยเฉพาะผลเร่วตากแห้ง มีความสำคัญต่อการรักษาและเป็นตัวยาสมุนไพร เนื่องจากเป็นหนึ่งในส่วนผสมของการปรุงเวชภัณฑ์พื้นบ้าน โดยเฉพาะตำรับยาไทย และตำรับยาจีน
สีเสียด เป็นไม้ยืนต้นที่นิยมนำส่วนแก่นไม้มาสับ แล้วนำมาเคี่ยวให้เหนียวหนืดเป็นก้อนสีน้ำตาลเข้ม ฉะนั้นบางครั้งจึงพบรายการสินค้าที่บันทึกด้วยชื่อ “สีเสียดก้อน” มีสรรพคุณทางยาและการรักษาโรคในตำรับยาไทย
กำยาน คือ ยางไม้ที่เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของต้นไม้ โดยจัดเป็นสินค้าประเภทที่นิยมนำไปทำเป็นส่วนผสมของเครื่องหอม เช่น ส่วนผสมของเครื่องหอมจุดบูชาเซ่นสรวง เป็นต้น
ไม้กฤษณาหรือไม้หอม คือ ยางไม้ที่เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของต้นไม้ มีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์คล้ายคลึงกับกำยาน ซึ่งกำยานและไม้กฤษณาเป็นสินค้าสำคัญที่ได้รับการบันทึกว่ามีการค้าขายกันอย่างมากตั้งแต่สมัยรัฐจารีต ดังจะเห็นได้จากเป็นหนึ่งในบัญชีส่วย และบรรณาการที่หัวเมืองต่างๆ ส่งมาทูลเกล้าฯ ถวายเป็นบรรณาการแด่พระมหากษัตริย์สยาม โดยเฉพาะไม้หอมที่มาจากอาณาจักรหลวงพระบาง และป่าไม้ในเขตดงพญาเย็น (ราคาสินค้าของไทย, 2448, หน้า 895)
สินค้าประเภทไม้หอมเป็นสินค้าชนิดที่ได้รับความสนใจทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษ ดังสะท้อนได้จากการจัดจำแนกคุณภาพสินค้าแยกย่อยเป็น 3 ระดับ คือ ไม้หอมอย่างดี ไม้หอมอย่างกลาง และไม่หอมอย่างต่ำ หมายถึง ไม้หอมที่มีคุณภาพตามลำดับดังนี้ คือ ไม้หอมคุณภาพดี ไม้หอมคุณภาพพอใช้ ไม้หอมคุณภาพทั่วไป เป็นต้น อนึ่งการที่ไม้หอมกลายเป็นสินค้าของป่าที่เป็นที่ต้องการ อันเนื่องมาจากค่อนข้างหายาก นอกจากนี้สิ่งของที่หายากได้รับการยอมรับว่ามีความ “พิเศษ” ดังจะเห็นได้จากสถานะของพฤกษวัตถุหลายอย่าง ซึ่งในอดีตมีสถานะผูกโยงเข้ากับอำนาจและสัญญะทางการเมืองในฐานะ “เครื่องบรรณาการ” และ “ส่วย”
ข้าว: พืชสำคัญในวิถีชีวิตและสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ
สังคมไทยมีรากฐานทางวัฒนธรรมด้านการเพาะปลูก และถนัดในด้านเกษตรกรรมตามลักษณะการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งข้าวถือเป็นเป็นพืชพรรณสำคัญที่ตกผลึกอยู่ในสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนแถบนี้มาอย่างช้านาน โดยเฉพาะการพบเศษเปลือกข้าวเป็นส่วนผสมของอิฐส่วนหนึ่งของโบราณสถานตั้งแต่สมัยทวารวดี เรื่อยมาจนกระทั่งทุกยุคสมัย ด้วยลักษณะดังกล่าวจึงสะท้อนได้ว่า ชาวสยามคุ้นเคยกับวิถีการบริโภคข้าวมาอย่างช้านาน ภูมิปัญญาที่เกิดจากการนำข้าวมาบริโภคปรากฏได้จากความหลากหลายของการพลิกแพลงดัดแปลงข้าว เช่น อาหารคาว เป็นต้นว่าข้าวหมาก ข้าวแช่ รวมไปถึงการรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก ฯลฯ ขนมหวานนานาชนิด เป็นต้นว่า ข้าวต้มมัด ข้าวพอง ข้าวแต๋น รวมไปถึงการนำข้าวมาปรับเปลี่ยนพลิกแพลงทำขนมหวานหลากกลายชนิด ฯลฯ
ความสำคัญของข้าวได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นสินค้าทางการเกษตรที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ข้าวเป็นที่ต้องการทั้งชาวสยามและชาวต่างประเทศ สยามในฐานะเมืองท่าการค้าสำคัญจึงได้รับการจดบันทึกจากชาวตะวันตกว่ามีสินค้าประเภทข้าวอยู่อย่างล้นหลามในดินแดนแถบนี้ ศาสตราจารย์ ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร เสนอความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่ามีรากฐานสำคัญจากการส่งออกข้าว ข้าวเริ่มมีบทบาทต่อพาณิชยกรรมของประเทศตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ภายใต้การมีส่วนร่วมของ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) เกษตรกรชาวสยาม 2) แรงงานชาวจีนอพยพ (กุลี) ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีส่วนช่วยก่อให้การผลิตเชิงอุตสาหกรรมส่งออกที่รองรับความต้องการข้าวจำนวนมหาศาลของตลาดค้าข้าวระดับโลก และ 3) รัฐบาลสยามภายใต้การนำของรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจอันเอื้อต่อความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดการส่งออกข้าวเป็นผลผลิตสำคัญของประเทศ เช่น การปลดพันธะของราษฎรหรือการเลิกทาส การพัฒนาที่ดินโดยการขุดคูคลองอันจะสัมพันธ์โดยต่อนโยบายสนับสนุนการประกอบอาชีพ คือ การเปิดโอกาสจับจองพื้นที่ทำไร่ไถนาโดยงดเว้นภาษี เป็นต้น (สมาน สุดโต, 2554ก)
หากกล่าวถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การค้าขายข้าวเป็นกระแสเฟื่องฟูขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจบริบทสำคัญที่สร้างแรงสะท้านให้เกิดการผลักดันการส่งออกข้าวเป็นสินค้าทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค กล่าวคือ ต้องสืบย้อนไปตั้งแต่เจ้าอาณานิคมอังกฤษครอบครองพม่า ซึ่งสนับสนุนให้ชาวพม่าเปิดที่นาในแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดีเพาะปลูกข้าว จึงส่งผลให้พม่ามีศักยภาพในการผลิตข้าวเปลือกเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (Yee, 2017, p. 20) และสามารถส่งออกข้าวในปริมาณมาก และสร้างกำไรอย่างมากให้แก่ระบบเศรษฐกิจของรัฐ
ขณะเดียวกันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับประเทศสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีรูปแบบความเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการที่พระองค์มีพระราชดำริให้หน่วยงานราชการทำการสำรวจ ตัดเส้นทาง และขุดคลองหลายสาย เช่น การขุดคลองสวัสดิ์เปรมประชากร (ค.ศ. 1871-1873) การขุดคลองนครเนื่องเขตร (ค.ศ. 1876-1877) การขุดคลองประเวศบุรีรมย์ (ค.ศ. 1878-1880) การขุดคลองทวีวัฒนา (ค.ศ. 1878) การขุดคลองนราภิรมย์ (ค.ศ. 1878-1889) เป็นต้น (มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน, มปป.)
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเปิดที่ดินและที่นาสำหรับเพาะปลูก เนื่องจากการขุดคูและคลอง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการชลประทานน้ำได้ตัดผ่านเข้าไปยังที่ดินที่คลองใหม่ๆ ส่งผลให้ราษฎรชาวสยามเริ่มเพาะปลูกข้าวกันได้มากขึ้นตามผืนนาสองฝั่งคลองสายใหม่เหล่านั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดำเนินนโยบายงดเว้นการเก็บภาษีที่ดินในช่วงแรก จึงทำให้เกิดการขยายที่ดินเพาะปลูกข้าวในสยามจำนวนมาก ดังจะเห็นได้ว่าลักษณะเศรษฐกิจของประเทศสยามโดยเฉพาะในเมืองหลวงกรุงเทพมหานครเปลี่ยนรูปแบบเป็น “เศรษฐกิจบนบก” โดยที่รัฐบาลลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างอาคารพาณิชย์ การสร้างและตัดถนนสายสำคัญ ฯลฯ ประกอบการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรภายทั้งจากคนท้องถิ่น ผนวกกับการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานอพยพชาวจีน ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการผลักดันเศรษฐกิจสยามให้พัฒนาขึ้นอย่างมาก (สมาน สุดโต, 2554ข)
ปริมาณข้าวที่เพิ่มมากขึ้นได้ทำให้เห็นถึงกลไกทางการตลาดที่รัฐบาลสยามต้องเผชิญ ซึ่งการแข่งขันส่งออกข้าวในภูมิภาค ทำให้เกิดการเปรียบเทียบอัตราราคาข้าว โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ สยาม พม่า และเวียดนาม ฯลฯ รัฐบาลสยามพยายามรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับราคาข้าวในตลาดการค้าโลก (เมืองท่าการค้าอาณานิคม) เนื่องจากมีบทบาทสำคัญสำหรับการต่อรองราคาสินค้า อีกทั้งยังมีส่วนในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย ราคาข้าวที่ผันผวนส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของราษฎร และส่งผลต่อเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศ
ข้าวได้กลายเป็นหนึ่งในผลิตผลทางการเกษตรที่สร้างชื่อเสียให้แก่ประเทศสยาม รวมไปถึงส่งไปขายยังเมืองท่าแห่งอื่นๆ ในระดับของการค้าระดับนานาชาติ เช่น สิงคโปร์ ย่างกุ้ง ไซง่อน ฮ่องกง ฯลฯ ซึ่งเมืองท่าเหล่านี้ล้วนแต่มีชื่อเสียงและเป็นจุดหมายสำคัญของเครือข่ายการค้าทางทะเลระดับนานาชาติ จึงส่งผลให้ข้าวจากสยามเป็นที่รู้จัก และเป็นผลผลิตที่ต้องการจากหลากหลายชาติ รวมไปถึงประเทศสยามศักยภาพมีความพร้อมสูงในการผลิตข้าวป้อนเข้าสู่ตลาดการค้าข้าวโลก ดังตัวอย่างรายงานบัญชีสินค้าซื้อขายข้าวจากสยาม ค.ศ. 1906 ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ตัวอย่างบัญชีสำรวจราคาข้าวจากสยามที่ส่งไปขายยังเมืองท่าต่างประเทศ
เมืองที่สยามส่งข้าวไปขาย | คุณภาพข้าว | ราคาข้าว (ต่อหาบ) |
สยาม | ระดับ 1 | 6 บาท 56 อัฐ |
ระดับ 2 | 6 บาท 40 อัฐ | |
ปลายข้าวขาว | 4 บาท | |
สิงคโปร์ | ระดับ 1 | 4 เหรียญ 80 เซ็นต์ |
ระดับ 2 | 4 เหรียญ 20 เซ็นต์ | |
ปลายข้าวขาว | 3 เหรียญ | |
ฮ่องกง | ระดับ 1 | 4 เหรียญ 60 เซ็นต์ |
ระดับ 2 | 4 เหรียญ 20 เซ็นต์ | |
ปลายข้าวขาว | 3 เหรียญ 24 เซ็นต์ |
การค้าข้าวได้รับการยกระดับและพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าที่มีส่วนสำคัญต่อการส่งออกของประเทศสยาม กล่าวโดยเปรียบเทียบสัดส่วนการค้าข้าวในสมัยรัชกาลที่ 4 พบว่ามีจำนวนเพียงร้อยละ 5 ของบรรดาสินค้าส่งออกทั่วประเทศ ในขณะที่สัดส่วนการค้าข้าวในสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่าเพิ่มจำนวนขึ้นถึงร้อยละ 40 ของบรรดาสินค้าส่งออกทั่วประเทศ ดังจะเห็นได้ว่าข้าวมีบทบาทในฐานะสินค้าเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด ส่วนที่เหลืออยู่ในการส่งออกสินค้าประเภทอื่นๆ เช่น ดีบุก ไม้สัก และสินค้าของป่า เป็นต้น และท้ายที่สุดหลังสิ้นสุดรัชกาลที่ 5 อุตสาหกรรมการผลิตข้าวได้กลายเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลักของประเทศสยามที่กล่าวได้ว่า สยามเป็นประเทศเกษตรกรรมภายใต้อุตสาหกรรมการผลิตข้าว (ผาสุก พงษ์ไพจิตร, อ้างถึงใน สมาน สุดโต, 2554ข)
2) สัตว์วัตถุ (Animal products)
สินค้าในหมวดหมู่สัตว์วัตถุถือได้ว่าได้รับความนิยมในการส่งออกอย่างมาก และมีสัดส่วนของรายการสินค้าตามบัญชีที่รัฐบาลสยามบันทึกเอาไว้ น่าสังเกตว่าสินค้าที่แปรรูปจากสัตว์ได้รับความนิยมและกลายเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีกลุ่มตลาดทั้งในเอเชียใต้และยุโรปรองรับ ซึ่งกระบวนนำสัตว์และชิ้นส่วนของสัตว์มาแปรรูปเป็นสินค้าส่งออกของสยาม อาศัยกรรมวิธีการผลิตที่ไม่ซับซ้อน เช่น การแยกชิ้นส่วน การตากแห้ง การอบ ฯลฯ กระบวนการเหล่านี้มีส่วนช่วยยืดอายุในการซื้อขาย รวมไปถึงเอื้อต่อการขนส่งสินค้า ซึ่งการผลิตสินค้าประเภทสัตว์วัตถุเป็นมรดกตกทอดจากวิถีการค้าของสยามตั้งแต่สมัยรัฐจารีต (เพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์, 2557, หน้า 123)
ท่ามกลางการรับรู้ของชาติตะวันตกที่มีต่อสยามและดินแดนตะวันออกอันไกลโพ้นแห่งนี้ เปรียบได้กับการหลุดออกจากมิติเดียวกัน ชาวตะวันตกเกิดกระแสตื่นรู้และต้องการมาเยือนหรือสำรวจพื้นที่แผ่นดินตะวันออกไกลแห่งนี้ หนึ่งในแรงปรารถนาได้กลายเป็นความนิยมบรรดาข้าวของจากทวีปเอเชีย โดยเฉพาะการสะสมซากสัตว์ เขา หรือชิ้นส่วนที่ทำจากสัตว์หายาก เพื่อใช้เป็นของประดับตกแต่งในห้องรับแขก หรือสะสมเป็นงานอดิเรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงรสนิยมของบรรดาผู้มีฐานะในยุโรป อันเกิดจากกระแสความใคร่รู้ในเรื่องราวของแผ่นดินของชาวเอเชีย นอกจากนี้ยังมีการนำชิ้นส่วนสัตว์บางอย่าไปผลิตป้อนเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนหนังสัตว์ เป็นต้น
รายการสินค้าที่ได้รับการจดบัญชีโดยรัฐบาลสยาม สะท้อนให้เห็นว่าสยามยังคงได้รับการให้ความสำคัญในฐานะเมืองท่าแหล่งสินค้าจากโลกเอเชีย ซึ่งบรรดารายการเหล่านี้ยังเน้นย้ำสถานะของการให้คุณค่าแก่สัตว์เศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันสัตว์บางชนิดกลายเป็นสัตว์คุ้มครอง หรือแม้กระทั่งลดจำนวนลงไปกลายเป็นสูญพันธุ์ เช่น สมัน เป็นต้น ตัวอย่างรายการสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจสยาม ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 ตัวอย่างบัญชีสินค้าของไทยต่างๆ ที่จำหน่ายซื้อขายกันในสยาม
ส่วนกระดูก | ส่วนเขา | ส่วนหนัง | ส่วนอื่นๆ |
กระดูกกระบือ | เขากระบือ | หนังกระบือ | ไขเนื้อ |
กระดูกช้าง | งาช้าง | หนังช้าง | เอ็นเนื้อ |
กระดูกเสือ | เขากวาง | หนังกวาง | กระเพาะปลาต่างๆ |
กระดูกโค | นอแรด | หนังแรด | หูปลาฉลาม (ขาว/ดำ) |
หนังโค | อกเต่า | ||
หนังทราย | เกล็ดนิ่ม | ||
เศษหนังต่างๆ | หอยแมลงภู่แห้ง |
นอกจากสินค้าเหล่านี้จะเป็นที่นิยมในหมู่ประเทศแถบยุโรป ยังพบว่าสินค้าส่วนหนึ่งยังอยู่ในความต้องจากจากเมืองท่าชายฝั่งในละแวกใกล้เคียง หรือในประเทศเอเชียด้วยกัน โดยเฉพาะตัวอย่างสินค้าจากตารางที่ 1 ในหมวดหมู่สินค้าส่วนอื่นๆ เป็นที่ต้องการอย่างมากโดยเฉพาะจีน ซึ่งสินค้าประเภทกระเพาะปลา หูฉลาม อกเต่า เกล็ดนิ่ม หอยแมลงภู่แห้ง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการปรุงเวชภัณฑ์ตำรับพื้นบ้านของจีน รวมไปถึงรายการสินค้าที่น่าสนใจในเชิงการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น เขาควายเผือก และเลือดแรด (ราคาสินค้าไม้ต่างๆ ที่ซื้อขายกันในเดือนมกราคม ศก124, 2449, หน้า 1082)
น่าสังเกตว่าสินค้าจากสัตว์เริ่มลดบทบาทลงไปในจากกลุ่มสินค้าส่งออกของประเทสสยาม พร้อมกับวิธีการจัดเก็บภาษีที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ สินค้าจากสัตว์จากเดิมซึ่งได้รับมาจากการเรียกเก็บส่วยต้องยุติลงไป เนื่องจากรัฐบาลปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษีในรูปแบบของเงินตรา ฉะนั้นนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลสนับสนุนด้านการค้าข้าว จึงมีบทบาทและสนองตอบต่อการจัดเก็บภาษีของรัฐบาล
บทสรุป
เมื่อวิเคราะห์ภาพรวมสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจของสยามข้างต้น พบว่ามีลักษณะที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและภูมิประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นสินค้าซึ่งไม่ได้แปรรูป หรือหากแปรสภาพก็ยังคงเค้าเดิมของผลิตภัณฑ์เดิม ในทางเศรษฐศาสตร์จึงจัดลำดับขั้นเป็น “สินค้าประเภทปฐมภูมิ” หมายถึง สินค้าที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปลักษณ์ หรือผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งโดยส่วนใหญ่สินค้าของสยามล้วนแต่ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ โดยอาศัยสายลมและแสงแดดเข้ามาช่วยในการทำให้เป็น “สินค้าตากแห้ง”
นอกจากนี้ประเภทของสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจสยามทั้งที่ได้จากพืช (พฤกษวัตถุ) และสัตว์ (สัตว์วัตถุ) เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นรูปแบบการค้าและวิธีชีวิตของสังคมสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาอาศัยและมีความใกล้ชิดกับธรรมชาติและป่าไม้ ดังตัวอย่างรายการสินค้าที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ประกอบกับสินค้าจากประเทศสยามรวมทั้งเพื่อนบ้านในอุษาคเนย์ เป็นที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวตะวันตกที่มีรสนิยมในการสะสมสินค้าของป่าและสินค้าที่หาได้ยาก รวมถึงการนำสินค้าจากสยามป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการแปรรูปเป็น “สินค้าประเภททุติยภูมิ” หรือ “สินค้าประเภทตติยภูมิ” ที่มีความซับซ้อนจากโรงงานอุตสาหกรรมในทวีปยุโรป โดยที่รัฐบาลสยามพยายามรักษาสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางการค้ากับเครือข่ายเมืองท่าการค้าของเจ้าอาณานิคมตะวันตก
ดังนั้น วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจและการค้าของรัฐบาลสยาม มีส่วนอย่างยิ่งที่สร้างชื่อเสียงของสยามให้เป็นที่รู้จักกันในนามแหล่งส่งออกสินค้าจากทวีปเอเชียที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง อีกทั้งวิสัยทัศน์ในการดำเนินนโยบายเปิดการค้าเสรีของรัฐบาลสยามสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เพื่อให้วิถีการค้าสยามสอดคล้องไปกับบริบทการค้าของภูมิภาค ล้วนเป็นคุณูปการที่ส่งผลมายังประเทศสยามในรัชกาลที่ 5 โดยตรง ซึ่งส่งผลให้ประเทศสยามสามารถดำรงอยู่ และสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์จากเจ้าอาณานิคม โดยอาศัยทรัพยากรทางธรรมชาติที่เป็นต้นทุนนำมาแปรรูปส่งออกในฐานะสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
บรรณานุกรม
บัญชีราคาสินค้าของไทยต่างๆ ที่จำหน่ายซื้อขายกันในกรุงสยาม จำนวนเดือนมิถุนายน ศก123. (2447, 17 กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 21 ตอน 16, หน้า 247.
เพชรรุ่ง เทียนปิ๋วโรจน์. (2557). “เส้นทางการค้าสมัยอยุธยา,” มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์. 31(1), หน้า 119-132.
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (มปป.). คลองขุดในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: https://www.saranukromthai.or.th/sub/book/book.php?book=33&chap=3&page=t33-3- infodetail03.html
ราคาสินค้าของไทยที่ซื้อขายกันในเดือนมกราคม ศก123. (2448, 26 กุมภาพันธ์). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 21 ตอน 48, หน้า 895.
ราคาสินค้าไม้ต่างๆ ที่ซื้อขายกันในเดือนมกราคม ศก124. (2449, 18 กุมภาพันธ์). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 22 ตอน 47, หน้า 1082.
รายงานราคาสินค้าไม้ต่างๆ ที่ซื้อขายกันในเดือนตุลาคม ศก124. (2449, 7 มกราคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 22 ตอน 41, หน้า 981.
รายวันเรือเข้าเรือออก. (2427, 1 สิงหาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 1 ตอน 32, หน้า 288.
สมาน สุดโต. (2554ก, 20 มีนาคม). พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 กษัตริย์นักธุรกิจ (ตอน ที่ 1). http://www.posttoday.com/dhamma/79696
สมาน สุดโต. (2554ข, 27 มีนาคม). พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 กษัตริย์นักธุรกิจ (ตอน ที่ 2). http://www.posttoday.com/dhamma/80855
Mohajan, H. K. (2019). “The First Industrial Revolutuon: Creation of a New Global Human Era,” Journal of Social Science and Humanities. 5(4), 377-387.
Yee, N. N. N. (2017). Effects of Agricultural Policies on Rice Industry in Myanmar. (Master Thesis). Thammasat University.



นายชัยวัฒน์ ปะสุนะ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้เขียน