มยูร บุญยะรัตน์
ธญากร บริรักษ์กุล
สองเมือง ศรีสองเมือง
จิราภรณ์ สุวรรณหงษ์
ผู้เขียน
1. บทนำ
ปัญหาหนี้นอกระบบยังคงเป็นวาระสำคัญที่ท้าทายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยมาอย่าง
ต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะมีการเติบโต แต่สำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
เกษตรกร และผู้ประกอบอาชีพอิสระ วิกฤตหนี้นอกระบบยังคงเป็นเงาที่ปกคลุมและกัดกร่อนคุณภาพชีวิตอย่าง
เงียบเชียบ จากข้อมูลล่าสุดของการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2566 โดยสำนักงานสถิติ
แห่งชาติ พบว่า ร้อยละ 4.8 ของครัวเรือนทั่วประเทศยังคงมีภาระหนี้นอกระบบเพียงอย่างเดียว และยังมีอีก ร้อยละ 2.7 ของครัวเรือนดังกล่าวที่มีหนี้สินทั้งในและนอกระบบ สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาดังกล่าวยังคงหยั่ง
รากลึกในสังคมไทย
ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลการสำรวจเดียวกันของสภาพัฒน์ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ในปี 2566 ประมาณการว่า มูลค่าหนี้นอกระบบรวมกันสูงถึง 6.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้
มักมาพร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และวิธีการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่
ของประชาชนจำนวนไม่น้อย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบจึงมิได้เป็นเพียงเรื่องของการจัดการภาระทางการเงินเฉพาะบุคคล แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันของปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศไทยอย่างรอบด้าน
โดยอาศัยข้อมูลและสถิติที่น่าสนใจ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจถึงความรุนแรงและผลกระทบของปัญหา
ดังกล่าวได้โดยง่าย พร้อมกันนี้ จะนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยคำนึง
ถึงบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเป็นสำคัญ
2. สถานการณ์หนี้นอกระบบในปัจจุบัน :
ภาพรวมและข้อมูลเชิงลึก
เมื่อกล่าวถึง “หนี้นอกระบบ” ในบริบทของประเทศไทย หมายถึง การกู้ยืมเงินที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ที่ต้องการ
กู้ยืมเงิน และผู้ให้กู้ยืมเงินที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยส่วนใหญ่
มักเป็นการตกลงระหว่างบุคคลทั่วไป หรือการกู้ยืมจากนายทุนเงินกู้ที่ไม่ได้รับการอนุญาตหรือควบคุมจากหน่วยงาน
ภาครัฐ เมื่อมองย้อนไปในอดีต การกู้ยืมลักษณะนี้อาจมีบทบาทในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคม เช่น การหยิบยืม
ระหว่างเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้อง เพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็นหรือเพื่อลงทุนประกอบอาชีพขนาดเล็ก ทว่า ในปัจจุบัน
บทบาทของผู้ให้กู้ยืมเงินหรือนายทุนเงินกู้ได้ขยายตัวอย่างมาก และมาพร้อมกับการเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่สูง
เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ (ปัจจุบันเพดานดอกเบี้ยตามกฎหมายอยู่ที่ร้อยละ 15 ต่อปี) แต่ในโลกของหนี้นอกระบบ
อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจริงนั้นสูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดนี้มาก และมักถูกคิดคำนวณให้ชำระคืนแบบรายวันหรือรายเดือน ทำให้ภาระหนี้ทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์หลักของการกู้หนี้นอกระบบ พบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 47.2) ของเงินกู้เหล่านี้
ถูกนำไปใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคภายในครัวเรือน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ในชีวิตประจำวันของประชาชนจำนวนมาก รองลงมาคือ การนำไปใช้ในการทำการเกษตร การทำธุรกิจ และวัตถุประสงค์อื่น ๆ
สำหรับกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้นอกระบบมากที่สุด มักเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เป็นต้น โดยจากการสำรวจของกระทรวงพาณิชย์
ในปี 2568 พบว่า กลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนหนี้นอกระบบมากที่สุดคือ กลุ่มผู้รับจ้างอิสระ ซึ่งอาจมีปัญหาในการแสดง
หลักฐานทางการเงินที่มั่นคง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ นอกจากนี้ กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นอีกกลุ่มที่มีสัดส่วนการก่อหนี้นอกระบบสูงที่สุด ซึ่งตอกย้ำว่าปัญหาภาระหนี้ดังกล่าวกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับลูกหนี้นอกระบบคือ อัตราดอกเบี้ยที่ถูกเรียกเก็บในตลาดหนี้นอกระบบนั้น สูงกว่ากฎหมายกำหนดอย่างมาก ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ รูปแบบการให้กู้ยืมที่มักใช้คือ งวดการให้ชำระภายใน 24 วัน เช่น ให้กู้ 2,000 บาท กำหนดให้ชำระคือวันละ 100 บาทเป็นระยะเวลา 24 วัน ซึ่งอาจดูไม่สูง แท้จริงแล้วหากคำนวณเป็นอัตราต่อวันจะประมาณร้อยละ 0.83 ต่อวัน (400/2,000X100/24) หรือประมาณร้อยละ 302.95
ต่อปี โดยข้อมูลจากสายด่วน 1359 ซึ่งเป็นช่องทางให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาหนี้นอกระบบ พบว่า ประเด็นที่ประชาชนสอบถามมากที่สุดคือ เรื่องของอัตราดอกเบี้ย และแนวทางการคำนวณดอกเบี้ยที่ถูกคิดอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ จากข้อมูลการให้คำปรึกษากับประชาชนพบว่า อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่คำนวณได้สูงถึงร้อยละ
40.61 ต่อเดือน หรือเทียบเท่ากับร้อยละ 487.32 ต่อปี ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้งและยากที่จะหลุดพ้นสำหรับลูกหนี้
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติที่นำมาวิเคราะห์ ยังชี้ให้เห็นว่า กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
เป็นสองกลุ่มที่มีสถานการณ์หนี้น่าเป็นห่วงมากที่สุด โดยมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้เฉลี่ยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา
อยู่ที่ร้อยละ 34 และร้อยละ 41 ตามลำดับ หมายความว่า หากมีรายได้ 100 บาท จะต้องนำไปชำระหนี้ถึง 34 หรือ 41 บาท ทำให้เหลือเงินสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเก็บออมน้อยมาก ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาหนี้สินของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
จากภาพรวมและข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่าปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่ต้อง
ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มเปราะบาง และสร้างรากฐาน
ทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นธรรมให้กับสังคมโดยรวม
ผลกระทบและความท้าทายของปัญหาหนี้นอกระบบ
ปัญหาหนี้นอกระบบมิได้แค่ส่งผลกระทบเพียงแค่ตัวลูกหนี้โดยตรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง อีกทั้งยังมีความท้าทายหลายประการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ผลกระทบต่อลูกหนี้:
วงจรหนี้สินที่ไม่รู้จบถือเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของหนี้นอกระบบ ด้วยอัตราดอกเบี้ย
ที่สูงลิ่ว เกินกว่ากำลังที่ลูกหนี้จะชำระคืนได้ทัน ทำให้ไม่ว่าลูกหนี้จะพยายามชำระหนี้เท่าไหร่แต่เงินต้นกลับไม่ลดลง
และดอกเบี้ยก็ทบต้นไปเรื่อย ๆ จนลูกหนี้ต้องจมอยู่ในวังวนของหนี้สินอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความเครียดและความกังวล
ที่เกิดจากภาระหนี้สินที่หนักอึ้งนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของลูกหนี้และครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ลูกหนี้หนี้นอกระบบยังมีความเสี่ยงสูงที่จะเผชิญกับการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจรวมถึงการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง หรือการประจานความเป็นหนี้ ทำให้เกิดความหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย
ในชีวิตและทรัพย์สิน
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ:
ในภาพรวม ปัญหาหนี้นอกระบบยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ การที่ประชาชนจำนวนมากต้องนำรายได้ส่วนใหญ่ไปชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้มีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการลดลง ซึ่งเป็นการลดทอนกำลังซื้อของประชาชน และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโต
ทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ การที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมในระบบ ยังอาจเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการพัฒนาธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก
ความท้าทายในการแก้ไขปัญหา:
การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้นมีความท้าทายหลายประการ ประการแรกคือ ความท้าทายด้านข้อมูล เนื่องจากหนี้นอกระบบส่วนใหญ่เกิดขึ้นนอกระบบการกำกับดูแล ทำให้ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนลูกหนี้ มูลค่าหนี้สิน และเงื่อนไขการกู้ยืมที่แท้จริง ลูกหนี้เองก็มักจะไม่เปิดเผยตัวตนจนกว่าจะประสบปัญหาอย่างหนัก ทำให้การประเมินขนาดและขอบเขตของปัญหาเป็นไปได้ยาก ประการที่สองคือ ความซับซ้อนของธุรกิจหนี้นอกระบบ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการอยู่เสมอ บางครั้งมีการนำเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) มาใช้ในการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน แต่ก็มักเป็นการให้กู้ยืมในวงเงินที่ไม่สูงนักเพื่อลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ นอกจากนี้ โครงสร้างทีมงานของธุรกิจหนี้นอกระบบมักมีการจ้างพนักงานประจำจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเป็นคนอายุน้อย เพื่อลดความเสี่ยงของนายทุนเมื่อถูกจับกุม
การวัดผลกระทบของการแทรกแซงต่าง ๆ ต่อการลดหนี้นอกระบบโดยตรงนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย เนื่องจากข้อจำกัดด้านข้อมูล อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางชิ้นได้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าถึงบริการทางการเงินและหนี้นอกระบบ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยในโคลอมเบียพบว่า การอนุมัติสินเชื่อในระบบที่เป็นทางการนำไปสู่การลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของการใช้สินเชื่อนอกระบบ นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกในปี 2014 และ 2022 พบว่าการใช้แหล่งเงินกู้นอกระบบลดลงเมื่อประเทศมีระดับรายได้สูงขึ้น รวมถึงงานวิจัย
ในอินเดียแสดงให้เห็นว่าโครงการสนับสนุนกลุ่มช่วยเหลือตนเอง (SHG) ซึ่งเป็นการแทรกแซงด้านสินเชื่อรายย่อย
นำไปสู่การลดลงของการใช้สินเชื่อนอกระบบถึง 14.5 เปอร์เซ็นต์ และอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่จ่ายสำหรับเงินกู้ล่าสุด
ลดลงจาก 69 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เป็น 58 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และการศึกษาในบังกลาเทศพบว่า การเข้าถึงบริการทาง
การเงินรายย่อยช่วยลดแนวโน้มที่ครัวเรือนจะกู้ยืมจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ แต่ไม่ได้ลดจำนวนเงินกู้ที่ไม่เป็น
ทางการ
จากลักษณะพิเศษเหล่านี้ ทำให้การเข้าถึงและแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยภาครัฐเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น การทำความเข้าใจถึงผลกระทบและความท้าทายเหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพิจารณาแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่มีประสิทธิภาพต่อไป
3. ความพยายามในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ผ่านมา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อ
ช่วยเหลือประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบให้หลุดพ้นจากสภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว โดยปัจจุบันกระทรวงการคลัง
มีแนวทางให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบใน 3 ส่วน ดังนี้
1. การเพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบให้กับลูกหนี้
1.1 สนับสนุนการประกอบธุรกิจสินเชื่อราย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ทำให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบ
ที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด และทดแทนการไปกู้หนี้นอกระบบ รวมทั้งยังเป็นช่องทาง
ให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ
กระทรวงการคลัง โดยสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ (1) สินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ โดย
ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้สินเชื่อในวงเงินรายละไม่เกิน 50,000 บาท และเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย อัตรากาไรจาก
การให้สินเชื่อ ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) และ (2) สินเชื่อประเภทพิโกพลัส สามารถให้สินเชื่อในวงเงินรายละไม่เกิน 100,000 บาท และเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย อัตรากาไรจากการให้สินเชื่อ ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียม
อื่นใด รวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) สาหรับวงเงินสินเชื่อ ไม่เกิน 50,000 บาทแรก และ
สำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาทเป็นต้นไป ให้เรียกเก็บได้ไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก)
1.2 สนับสนุนให้มีแหล่งสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้นอกระบบผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้มีโครงการสินเชื่อเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ดังนี้
(1) สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อสงวนรักษาที่ดินจากการจำนอง ขายฝาก หรือใช้ที่ดินเป็นประกัน มีวงเงินสินเชื่อสูงสุด 2.5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย
ร้อยละ 5 ต่อปี และหากชำระหนี้อย่างต่อเนื่องอัตราดอกเบี้ยจะลดลงเหลือร้อยละ 4 ต่อปี ร้อยละ 3 ต่อปี และร้อยละ 2 ต่อปีในปีถัดไป ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 20 ปี
(2) สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สินนอกระบบ โดย ธ.ก.ส. มีวงเงินสินเชื่อรายละไม่เกิน 200,000 บาท หรือไม่เกิน 500,000 บาท กรณีสงวนรักษาที่ดิน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR) ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 12 ปี
(3) สินเชื่อธนาคารประชาชนเพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ โดยธนาคารออมสิน มีวงเงินสินเชื่อสูงสุด 50,000 บาท
ต่อราย อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ร้อยละ 0.75 ต่อเดือน ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
(4) สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ โดยธนาคารออมสิน มีวงเงินสินเชื่อสูงสุด 50,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย
เริ่มต้นที่ร้อยละ 0.75 ต่อเดือน ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
(5) สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส โดยธนาคารออมสิน มีวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย
คงที่ร้อยละ 0.60 ต่อเดือน ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ไม่เกิน 1 ปี
2. การป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เหล่านี้กลับมาเป็นหนี้นอกระบบซ้ำอีก
2.1 กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างดำเนินการ
ตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 – 2570 มีเป้าหมาย คือ (1) ให้คนไทยเกิด
ความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการบริหารจัดการเงิน และเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน (2) คนไทยมีความรู้และ
ทักษะทางการเงิน และ (3) มีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างยั่งยืน
2.2 กระทรวงการคลังโดยสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการบรรยายให้ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน และเตือนภัยเกี่ยวกับการเงินนอกระบบให้แก่ประชาชน เช่น การเตือนภัยไม่ให้หลงเชื่อข้อความสั้น (SMS) ที่หลอกลวง และแอปพลิเคชันปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหด การเตือนภัย
พฤติกรรมที่ชักชวนให้ลงทุนและ การกู้ยืมเงินที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ภายใต้พระราชกาหนดการกู้ยืมเงินที่เป็น
การฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และพระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 เป็นต้น ผ่านช่องทาง ต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ และเฟซบุ๊กของ สศค. (www.fpo.go.th) เป็นต้น รวมถึงได้จัดให้มีช่องทางให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ
ผ่าน “ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ” หรือ สายด่วน 1359 เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบ
รวมถึงธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ก็จัดให้มีจุดบริการให้คำแนะนำปรึกษาด้านสินเชื่อและให้ความรู้ทางการเงิน
ที่สาขาทั่วประเทศเช่นกัน
3. การพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพและการหารายได้ของลูกหนี้
โดยธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. มีโครงการฝึกอบรมและพัฒนาอาชีพอย่างต่อเนื่อง เช่น การฟื้นฟูศักยภาพ
ในการประกอบอาชีพ ภายใต้หลักการ “ตลาดนานวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ของ ธ.ก.ส. และโครงการปั้นงาน ปั้นเงิน
และหลักสูตรอบรม Online โดยธนาคารออมสินร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้มีอาชีพและ
สร้างรายได้มาดารงชีวิตและลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ
4. ความคืบหน้าของการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของกระทรวงการคลัง และสถานการณ์ของสินเชื่อ
พิโกไฟแนนซ์
กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตร
และสหกรณ์การเกษตร ผ่านมาตรการสินเชื่อต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อชำระหนี้สิน
นอกระบบ สินเชื่อกองทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน มาตรการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือและรองรับ
ลูกหนี้นอกระบบที่ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสินเชื่อสร้างเครดิต
สร้างโอกาส โดยผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 – 3 กรกฎาคม 2568 มีประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบ
ได้รับอนุมัติให้ความช่วยเหลือทางการเงินไปแล้วจำนวน 82,815 ราย ยอดอนุมัติรวมทั้งสิ้น 2,514.99 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินการ ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2568 จำนวน 1,418 ราย และมียอดอนุมัติเพิ่มขึ้น 35.19
ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีนโยบายส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ
(สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบให้แก่ประชาชนรายย่อยในอัตราดอกเบี้ย
ที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอาเปรียบจากเจ้าหนี้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด รวมทั้งยังเป็น
ช่องทางให้เจ้าหนี้นอกระบบสามารถเข้ามาให้บริการสินเชื่อในระบบอย่างถูกกฎหมาย โดยปัจจุบัน ณ เดือนมิถุนายน 2568 มีนิติบุคคล (บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด) ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และเปิด
ดำเนินการแล้ว 1,155 ราย ใน 75 จังหวัด และ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 มีการอนุมัติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับ
ประชาชนรายย่อยสะสมทั้งสิ้น 5,146,279 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 50,866.99 ล้านบาท โดยเป็นยอดสินเชื่อคงค้าง
381,407 บัญชี เป็นจำนวนเงินรวม 7,434.14 ล้านบาท ทั้งนี้ นิติบุคคลที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถดูข้อมูลการยื่นคำขออนุญาตได้ที่ www.1359.go.th หรือโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1359
บทสรุป
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าปัญหาหนี้นอกระบบในประเทศไทยเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและส่ง
ผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบอาชีพอิสระ แม้ว่าขนาดของสินเชื่อโดยเฉลี่ยอาจไม่สูงนัก แต่ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่โหดร้าย และวิธีการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ทำให้ลูกหนี้จำนวนมาก
ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีวิตและหลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน
ความพยายามของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมให้มีสินเชื่อ
พิโกไฟแนนซ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลสถิติ พบว่า วงเงินสินเชื่อเฉลี่ยต่อรายที่ลดลง อาจสะท้อนถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หรือความต้องการเงินกู้ในวงเงินที่เล็กลงของผู้กู้ในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน นอกจากนี้ ปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ที่ไม่เป็นธรรม และการเพิ่มขึ้นของผู้ที่มาขอคำปรึกษาจากกลุ่มผู้มีรายได้ประจำ ยังเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาหนี้นอกระบบยังคงต้องการการแก้ไขอย่างจริงจัง
การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้เกิดความยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และประชาชนทุกคน ภาครัฐควรดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อปราบปรามเจ้าหนี้ที่มีการกระทำที่ผิดกฎหมาย และการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินและทักษะการบริหารจัดการหนี้ให้กับประชาชน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันการตกเป็นเหยื่อของหนี้นอกระบบในระยะยาว
นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของการก่อหนี้ เช่น การส่งเสริมการสร้างรายได้และโอกาสทางเศรษฐกิจ
การลดความเหลื่อมล้ำ ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ การสนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้
ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ จะเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญและยั่งยืนในการลดความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้
นอกระบบ
โดยสรุปแล้ว ปัญหาหนี้นอกระบบยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายและต้องการการแก้ไขอย่างรอบด้านและต่อเนื่อง
การดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมทั้งการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรม การเสริมสร้างความรู้
ทางการเงิน การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
จะเป็นหนทางสำคัญในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และสร้างสังคมที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2566. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2567). รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสี่ ปี 2566 และภาพรวมปี 2566.
นายมยูร บุญยะรัตน์
เศรษฐกรชำนาญการพิเศษ
ผู้เขียน
นางธญากร บริรักษ์กุล
เศรษฐกรชำนาญการ
ผู้เขียน
นายสองเมือง ศรีสองเมือง
เศรษฐกรปฏิบัติการ
ผู้เขียน
นางสาวจิราภรณ์ สุวรรณหงษ์
นิติกร
ผู้เขียน
