BNPL กับพลวัตของหนี้ครัวเรือน

BNPL กับพลวัตของหนี้ครัวเรือน

นายมยูร บุญยะรัตน์
อารีรัตน์ สวัสดิ์เป้า
ผู้เขียน

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พลวัตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการขยายตัวของระบบสินเชื่อดิจิทัลรูปแบบใหม่ อาทิ บริการ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” หรือ Buy Now Pay Later (BNPL) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาว ด้วยคุณสมบัติที่เข้าถึงง่ายและไม่มีดอกเบี้ยหากชำระตรงเวลา อย่างไรก็ดี การเติบโตของ BNPL ในบริบทที่ยังขาดมาตรการกำกับดูแลอย่างทั่วถึง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพหนี้ครัวเรือนในระยะยาว

มูลค่าตลาด BNPL ในไทยที่คาดว่าจะแตะ 550,000 ล้านบาท ภายในปี 2571 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการกำกับดูแล บทความฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์รูปแบบ BNPL ในฐานะเครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการก่อหนี้โดยแยกตามกลุ่มช่วงอายุ ตลอดจนศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ และเสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบริหารความเสี่ยงดังกล่าวได้อย่างยั่งยืนและสมดุล

1. BNPL – ทางเลือกใหม่หรือความเสี่ยงทางการเงินในยุคดิจิทัล

1.1 ความหมายและลักษณะของระบบ BNPL

Buy Now, Pay Later (BNPL) หรือ “ระบบซื้อก่อน จ่ายภายหลัง” หมายถึงรูปแบบการชำระเงินที่เอื้อให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าและบริการได้ทันที โดยชำระเงินในรูปแบบผ่อนจ่ายเป็นงวดภายหลัง ณ ระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไป ผู้ให้บริการ BNPL จะเรียกเก็บค่างวดแรกในขณะที่มีการซื้อ และหักชำระค่างวดที่เหลือผ่านบัญชีธนาคารหรือช่องทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่นแบบอัตโนมัติจนครบวงเงินที่กำหนดลักษณะสำคัญของระบบ BNPL สามารถสรุปได้ดังนี้

  • การเข้าถึงบริการที่สะดวกและรวดเร็ว: ผู้บริโภคสามารถสมัครใช้บริการโดยใช้เพียงข้อมูลพื้นฐาน เช่น หมายเลขบัตรประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบประวัติเครดิตเชิงลึก เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์สินเชื่อจากสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม
  • การผ่อนชำระแบบปลอดดอกเบี้ยในระยะสั้น: หากผู้ใช้บริการชำระเงินครบถ้วนตามกำหนดระยะเวลา จะไม่ถูกเรียกเก็บดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี การชำระล่าช้าจะส่งผลให้เกิดค่าปรับหรือดอกเบี้ยในอัตราที่สูง
  • สิทธิประโยชน์และโปรโมชันเพื่อจูงใจการใช้บริการ: ผู้ให้บริการ BNPL มักจัดโปรโมชันเพื่อส่งเสริมการใช้งาน เช่น ส่วนลดสำหรับผู้ใช้รายใหม่หรือในช่วงเทศกาล
  • การเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินในระดับบุคคล: ระบบ BNPL ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการโดยไม่ต้องรอเงินเดือนหรือเงินก้อน ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคและการตัดสินใจใช้จ่ายใน
    ระยะสั้น

1.2 การเติบโตของระบบ BNPL

ภายใต้บริบทของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระบบ BNPL ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคการค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งเติบโตจากข้อจำกัดด้านการเดินทางและรายได้ของผู้บริโภค ประกอบกับความต้องการในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินที่มีความยืดหยุ่นสูง

  • แนวโน้มในระดับโลก

ข้อมูลจากบริษัท Precedence Research ระบุ มูลค่าธุรกรรมผ่านระบบ BNPL ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ร้อยละ 27 ต่อปี ในช่วงปี 2566–2571 โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการใช้จ่ายผ่าน BNPL เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ตลาด BNPL ในสหรัฐอเมริกาเติบโตจาก 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573

การเติบโตในตลาดโลกนี้สะท้อนจากสถิติในสหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นพลวัตที่ก้าวกระโดด:

  • ปริมาณธุรกรรม: ปริมาณธุรกรรม BNPL เพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019
  • จำนวน Transaction : จำนวนสินเชื่อ BNPL ที่ออกโดยผู้ให้กู้ 5 อันดับแรกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 16.8 ล้านรายการในปี 2019 เป็น 180 ล้านรายการในปี 2021 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 970%
  • ฐานผู้ใช้งาน: ในปี 2024 คาดว่ามีชาวอเมริกันประมาณ 86.5 ล้านคน ใช้บริการ BNPL และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 91.5 ล้านคน ในปี 2025

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้แสดงให้เห็นว่า BNPL ได้กลายเป็น คู่แข่งโดยตรง ที่เข้ามาลดปริมาณการใช้บัตรเครดิตและแย่งชิงรายได้ดอกเบี้ยของสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

  • แนวโน้มในประเทศไทย

มูลค่าตลาด BNPL ในประเทศไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากประมาณ 30,000 ล้านบาทในปี 2564 เป็นกว่า 100,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 44.8% โดยมีมูลค่าตลาดแตะระดับ 550,000 ล้านบาทภายในปี 2571 ตัวอย่างผู้ให้บริการ BNPL ในประเทศ ได้แก่ SPayLater, LazPayLater, Pay Next และ Atome การเติบโตของระบบ BNPL สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพฤติกรรมทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อแบบดั้งเดิม

1.3 กลุ่มผู้ใช้งานและผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค

ระบบ BNPL ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในกลุ่มประชากรวัยแรงงานช่วงต้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Millennials (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2524–2539) และ Gen Z (เกิดระหว่าง พ.ศ. 2540–2555) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล และให้ความสำคัญกับความคล่องตัวทางการเงินมากกว่าความมั่นคงในระยะยาว ข้อมูลจากสหรัฐอเมริการะบุว่า ร้อยละ 60 ของผู้ใช้ BNPL มีอายุต่ำกว่า 45 ปี และกลุ่มอายุมากกว่า 55 ปี ก็มีการใช้บริการ BNPL ในอัตรากว่า 40% แสดงให้เห็นถึงการยอมรับที่กว้างขวางขึ้นในหมู่ประชากรหลายช่วงวัย ในกลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มใช้งานระบบ BNPL มากที่สุด เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านรายได้และคะแนนเครดิต การเข้าถึงสินเชื่อที่ไม่ต้องพิจารณาเครดิตจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับกลุ่มนี้ การขยายตัวของ BNPL ยังส่งผลต่อการลดลงของการใช้บัตรเครดิตในหลายประเทศ โดยเฉพาะในช่วงปี 2563 ที่พบว่าการใช้บัตรเครดิตในสหรัฐอเมริกาลดลงกว่า 20% อันเป็นผลจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของบริการ BNPL

1.4 ประโยชน์เชิงธุรกิจและแนวโน้มในภาคค้าปลีก

สำหรับภาคธุรกิจ ระบบ BNPL นับเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายและขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังไม่มีประวัติสินเชื่อหรือไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบการค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลว่า ร้อยละ 66 ของลูกค้าแสดงความพึงพอใจมากขึ้นเมื่อมีบริการ BNPL ขณะที่ร้อยละ 41 ของผู้ประกอบการพบว่ามูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และร้อยละ 30 พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำมากขึ้น ในส่วนของสินค้าที่ได้รับความนิยมผ่านระบบ BNPL ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และสินค้าไลฟ์สไตล์อื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่น ระบบ BNPL ยังสนับสนุนกลยุทธ์ Omnichannel ของผู้ประกอบการ โดยสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในช่องทางออนไลน์และหน้าร้านจริง ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

2. หนี้ครัวเรือนในประเทศไทย: สถานการณ์ ปัจจัยเสี่ยง และแนวโน้มจาก BNPL

2.1 สถานการณ์หนี้ครัวเรือนในประเทศไทย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ในระดับที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี 2566 ระบุว่าหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 15.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 90.6 ต่อ GDP สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาแล้ว แต่มีโครงสร้างรายได้ประชาชาติที่ยังไม่สูงมาก กลุ่มอายุ 25–35 ปี มีอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ที่สูงที่สุด สะท้อนถึงแรงกดดันทางการเงินในกลุ่มประชากรวัยเริ่มต้นทำงาน

หนี้ครัวเรือนดังกล่าวประกอบด้วยหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิตเป็นสัดส่วนสำคัญ อย่างไรก็ดี การขยายตัวของสินเชื่อในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะระบบ BNPL เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อโครงสร้างหนี้ครัวเรือนมากขึ้น

2.2 การเติบโตของ BNPL และผลกระทบต่อโครงสร้างหนี้

ระบบ BNPL ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งมีรายได้จำกัดและเข้าถึงสินเชื่อแบบดั้งเดิมได้ยาก จากการสำรวจของหน่วยงานภาคเอกชนระบุว่า ปี 2565 มูลค่าตลาด BNPL ในไทยอยู่ที่กว่า 100,000 ล้านบาท และคาดว่าภายใน ปี 2571 จะมีมูลค่าแตะ 550,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย ร้อยละ 44.8 ต่อปี การขยายตัวของ BNPL ส่งผลให้เกิด “หนี้ที่ไม่ได้รายงานในระบบสถาบันการเงิน” หรือที่เรียกในเชิงวิเคราะห์ว่า “หนี้เงา” (Shadow Debt) ซึ่งมีผลกระทบสำคัญใน 3 มิติหลัก ได้แก่

1. การประเมินเครดิตต่ำกว่าความเสี่ยงที่แท้จริง: ผู้บริโภคที่มีภาระ BNPL หลายบัญชี แต่ไม่มีข้อมูลในเครดิตบูโร อาจได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงได้อย่างครบถ้วน

 2. อัตราการผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกัน: ข้อมูลจากบริษัทติดตามหนี้ระบุว่า สัดส่วนการผิดนัดชำระในบัญชี BNPL อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้อายุ 18–29 ปี ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอนและไม่สามารถบริหารจัดการภาระผ่อนชำระจากหลายช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 3. ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน: แม้สถาบันการเงินจะไม่ปล่อยสินเชื่อผ่าน BNPL โดยตรง แต่ผลกระทบทางอ้อมจากการบริโภคเกินตัวและการสะสมภาระหนี้ในระบบที่ไม่ถูกกำกับอย่างเต็มรูปแบบ อาจกระทบต่อพฤติกรรมการชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่น และเชื่อมโยงไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบในอนาคต

4. กลไกสำคัญที่ทำให้ BNPL เติบโตอย่างรวดเร็วคือ โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง โดยรายได้หลักของ BNPL มาจาก ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากร้านค้า (Merchant Discount Rate) ซึ่งอาจสูงถึงร้อยละ 5 ของมูลค่าการทำธุรกรรม ต่างจากบัตรเครดิตที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ยเป็นหลัก รูปแบบที่แพร่หลายที่สุดคือ โมเดล “จ่าย 4” (Pay-in-Four) ที่แบ่งชำระเงินออกเป็น 4 งวดเท่าๆ กัน และส่วนใหญ่มักจะไม่มีดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี การเข้าถึงที่ง่ายดายได้นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สำคัญ:

  • ความเสี่ยงจากการก่อหนี้เกินตัว (Over-extension): ผู้บริโภคมีอัตราการอนุมัติสินเชื่อ ณ จุดขายที่สูงถึงประมาณ 80% ซึ่งสูงกว่าผลิตภัณฑ์สินเชื่อแบบดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด ความสามารถในการกู้ยืมจากผู้ให้บริการหลายรายพร้อมกัน ทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะก่อหนี้มากกว่าที่สามารถจัดการได้
  • แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้: ผลสำรวจในสหรัฐฯ พบว่า 41% ของผู้ใช้ BNPL เคยชำระเงินล่าช้าในปีที่ผ่านมา
  • ความเปราะบางของกลุ่มผู้ใช้: รายงานระบุว่าผู้ใช้ BNPL โดยเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะมี คะแนนเครดิตต่ำกว่า มียอดค้างชำระบัตรเครดิตสูงกว่า และมีหนี้สินในระดับสูงกว่าผู้ที่ไม่ใช้บริการ

การขยายตัวของ BNPL ในบริบทดังกล่าว ส่งผลให้เกิด “หนี้ที่ไม่ได้รายงานในระบบสถาบันการเงิน” หรือที่เรียกในเชิงวิเคราะห์ว่า “หนี้เงา” (Shadow Debt) ซึ่งมีผลกระทบสำคัญใน 3 มิติหลัก ได้แก่:

  1. การประเมินเครดิตต่ำกว่าความเสี่ยงที่แท้จริง: ผู้บริโภคที่มีภาระ BNPL หลายบัญชี แต่ไม่มีข้อมูลในเครดิตบูโร อาจได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ โดยธนาคารไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงได้อย่างครบถ้วน
  2. อัตราการผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นในกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกัน: สัดส่วนการผิดนัดชำระในบัญชี BNPL อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้อายุ 18–29 ปี ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอนและไม่สามารถบริหารจัดการภาระผ่อนชำระจากหลายช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. ผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน: ผลกระทบทางอ้อมจากการบริโภคเกินตัวและการสะสมภาระหนี้ในระบบที่ไม่ถูกกำกับอย่างเต็มรูปแบบ อาจกระทบต่อพฤติกรรมการชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่น และนำไปสู่ความเสี่ยงเชิงระบบในอนาค

2.3 ช่องว่างด้านข้อมูลและการกำกับดูแล

แม้ปัจจุบันผู้ให้บริการ BNPL รายใหญ่ในประเทศไทย อาทิ SPayLater, Pay Next และ LazPayLater จะเริ่มรายงานข้อมูลเข้าสู่ระบบเครดิตบูโรแล้ว แต่ยังคงมีผู้ให้บริการอีกหลายราย โดยเฉพาะกลุ่มฟินเทคขนาดเล็กที่อยู่นอกเหนือการกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้เกิดช่องว่างด้านข้อมูลในระบบสินเชื่อ ข้อมูลจากเครดิตบูโร ณ ปี 2566 ระบุว่า ผู้ใช้บริการ BNPL จำนวนมากไม่มีประวัติสินเชื่อปรากฏในระบบ แม้มีการก่อหนี้จริงผ่านหลายแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ ประเทศไทยยังไม่มีข้อบังคับให้ผู้ให้บริการ BNPL ต้องรายงานข้อมูลเข้าสู่ระบบอย่างเป็นทางการ แตกต่างจากประเทศที่มีมาตรการดังกล่าวแล้ว เช่น สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย

ช่องว่างด้านข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทั้งในมุมของผู้ให้กู้ ซึ่งอาจประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำกว่าความเป็นจริง (Credit Risk Underestimation) และในมุมของผู้บริโภคที่อาจสะสมหนี้จำนวนมากโดยไม่รู้ตัว (Over-Indebtedness without Awareness) หากไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจนและครอบคลุม ช่องว่างเหล่านี้อาจขยายตัวเป็นความเสี่ยงเชิงระบบในระยะยาวกำกับอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดภาวะหนี้ซ้อนโดยไม่รู้ตัวในระดับครัวเรือน และสะสมกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการเงินของประเทศในระยะยาว

3: พฤติกรรมการก่อหนี้ของแต่ละเจเนอเรชัน

3.1 พฤติกรรมการก่อหนี้ของแต่ละเจเนอเรชันและผลกระทบจาก BNPL

พฤติกรรมการก่อหนี้ของประชาชนไทยมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับช่วงวัย โดยมีบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยร่วมกำหนดลักษณะการบริโภคและการใช้เครื่องมือทางการเงิน ทั้งนี้ การจำแนกกลุ่มประชากรตามช่วงเจเนอเรชันช่วยให้สามารถวิเคราะห์ความแตกต่างของพฤติกรรมทางการเงิน และประเมินความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากการใช้บริการ BNPL ได้อย่างเป็นระบบ

  • กลุ่มประชากร Baby Boomers (พ.ศ. 2489–2507) มีลักษณะพฤติกรรมการเงินที่เน้นความมั่นคง ใช้จ่ายตามกำลัง ไม่ก่อหนี้เกินตัว และยึดถือหลักการออมเป็นหลัก กลุ่มนี้มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงเครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ เช่น BNPL อันเนื่องมาจากข้อจำกัดด้านการใช้เทคโนโลยี และทัศนคติที่เน้นความระมัดระวัง จึงนับเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำต่อปัญหาหนี้ใหม่จากระบบดิจิทัล
  • กลุ่ม Generation X (พ.ศ. 2508–2522) เป็นวัยที่อยู่ในช่วงกำลังแรงงานเต็มที่ มีภาระทางครอบครัว และเริ่มมีประสบการณ์ทางการเงินหลากหลาย ทั้งสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อยานพาหนะ และบัตรเครดิต พฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มนี้เปิดกว้างต่อการใช้หนี้จากหลายช่องทาง แม้จะมีความระมัดระวังในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากภาวะหนี้ซ้อน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเข้าถึง BNPL หลายบัญชีพร้อมกันโดยขาดระบบการบริหารจัดการหนี้ที่ชัดเจน
  • กลุ่ม Millennials หรือ Generation Y (พ.ศ. 2523–2539) เป็นกลุ่มประชากรวัยทำงานตอนต้นถึงกลางที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ ความสะดวกสบาย และภาพลักษณ์ทางสังคม พฤติกรรมการใช้จ่ายของกลุ่มนี้มีลักษณะตอบสนองความต้องการในระยะสั้น และมักเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินที่ให้ความรวดเร็วและไม่มีภาระดอกเบี้ยในเบื้องต้น เช่น ระบบ BNPL การนิยมใช้ BNPL ในกลุ่มนี้มีแนวโน้มสูง โดยเฉพาะในการซื้อสินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการความบันเทิง อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดด้านวินัยทางการเงินและการขาดแผนชำระหนี้ในระยะยาว ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมภาระหนี้โดยไม่รู้ตัว
  • กลุ่ม Generation Z (พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา) เป็นประชากรรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยีดิจิทัล และมีความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มทางการเงินออนไลน์ตั้งแต่อายุยังน้อย แม้กลุ่มนี้จะมีข้อได้เปรียบด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านเทคโนโลยี แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดด้านรายได้และความสามารถในการบริหารหนี้ กลุ่ม Gen Z นิยมใช้ BNPL เพื่อการบริโภคระยะสั้น เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือสินค้าแฟชั่นตามกระแส ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้หรือสินทรัพย์ระยะยาว จึงเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะหนี้ซ้ำซ้อนและผิดนัดชำระในอนาคต

ในภาพรวม ความแตกต่างทางพฤติกรรมของแต่ละเจเนอเรชันส่งผลโดยตรงต่อระดับความเปราะบางทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาวที่มีแนวโน้มเปิดรับบริการ BNPL มากกว่ากลุ่มอื่น ประกอบกับข้อจำกัดด้านความรู้ทางการเงินและถึงแม้จะมีผู้ให้บริการ BNPL หลายรายที่เริ่มรายงานข้อมูลเข้าสู่เครดิตบูโรแล้ว แต่ระบบยังไม่ครอบคลุมผู้ให้บริการทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดช่องโหว่ในการประเมินความเสี่ยงและการออกแบบมาตรการด้านหนี้ครัวเรือนในระดับระบบ

3.2 บทสังเคราะห์เชิงเจเนอเรชัน

แม้ระบบ BNPL จะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น แต่หากพิจารณาในเชิงเจเนอเรชันแล้ว พบว่ามีความเหลื่อมล้ำด้าน “ความสามารถในการบริหารหนี้” อย่างมีนัยสำคัญ กลุ่ม Baby Boomers และ Gen X มีแนวโน้มควบคุมพฤติกรรมทางการเงินได้ดี แต่เริ่มมีข้อจำกัดด้านรายได้และสุขภาพ จึงใช้งาน BNPL ต่ำ ในทางกลับกันกลุ่ม Millennials และ Gen Z กลับเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเน้นการบริโภคเพื่อไลฟ์สไตล์ และมีพฤติกรรมการเงินที่ยืดหยุ่น (และบางครั้งขาดวินัย)

การออกแบบนโยบายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการให้ความรู้ทางการเงินจึงควรคำนึงถึงบริบทเจเนอเรชันอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการกำกับดูแลเครื่องมือทางการเงินรูปแบบใหม่ที่อาจดู “ไม่เป็นหนี้” ในสายตาผู้บริโภค แต่มีคุณสมบัติเชิงเศรษฐกิจเทียบเท่าสินเชื่อที่ต้องกำกับอย่างเข้มงวด

4. กรณีศึกษาต่างประเทศและบทเรียนสำหรับประเทศไทย

4.1 กรณีศึกษาต่างประเทศ

การขยายตัวของบริการ Buy Now Pay Later (BNPL) มิได้เป็นปรากฏการณ์เฉพาะในประเทศไทย หากแต่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีโครงสร้างการค้าปลีกดิจิทัลพัฒนาแล้ว กรณีศึกษาจากต่างประเทศสะท้อนให้เห็นทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่อาจเกิดขึ้น หากปราศจากกลไกกำกับดูแลที่เหมาะสม ทั้งนี้ บทเรียนจากต่างประเทศสามารถใช้เป็นแนวทางในการออกแบบนโยบายของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ออสเตรเลีย: การกำกับเชิงรุกเพื่อป้องกันหนี้เกินตัว ประเทศออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่บริการ BNPL เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์ม Afterpay ซึ่งได้รับความนิยมสูงในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี การขยายตัวดังกล่าวนำมาซึ่งความกังวลด้านการก่อหนี้ในกลุ่มประชากรวัยแรงงานตอนต้น รัฐบาลออสเตรเลียจึงได้ออกมาตรการกำกับเชิงรุก เช่น การบังคับให้ผู้ให้บริการ BNPL ต้องตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ก่อนอนุมัติวงเงิน (affordability checks) และเสนอร่างกฎหมายที่ให้ BNPL อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานเดียวกับสินเชื่อทั่วไป เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการคุ้มครองผู้บริโภค
  • สหราชอาณาจักร: ความโปร่งใสของข้อมูลสินเชื่อ สหราชอาณาจักรประสบปัญหา “หนี้เงา” (shadow debt) จาก BNPL ซึ่งหมายถึงหนี้ที่มิได้ปรากฏในระบบสินเชื่อหรือการประเมินความเสี่ยงของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถก่อหนี้ซ้ำซ้อนได้โดยสถาบันการเงินไม่สามารถประเมินภาพรวมภาระหนี้ได้อย่างถูกต้อง สำนักงานกำกับบริการการเงิน (Financial Conduct Authority: FCA) ได้ดำเนินมาตรการบังคับให้บริษัท BNPL รายงานข้อมูลหนี้เข้าสู่ระบบเครดิต พร้อมทั้งกำหนดให้เปิดเผยเงื่อนไขสินเชื่ออย่างโปร่งใส และให้เวลาทบทวนก่อนการผูกพันทางการเงิน เพื่อป้องกันพฤติกรรมบริโภคแบบหุนหันพลันแล่น
  • สหรัฐอเมริกา: ความเสี่ยงจากการใช้ BNPL หลายบัญชี ในสหรัฐอเมริกา BNPL ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภควัยหนุ่มสาวเป็นอย่างมาก โดยข้อมูลจากบริษัทเครดิต Experian พบว่า ร้อยละ 33 ของผู้ใช้ BNPL มีบัญชีสินเชื่อ BNPL จากมากกว่าหนึ่งผู้ให้บริการ และส่วนใหญ่ไม่ถูกรวมในประวัติเครดิต ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมหนี้เกินกำลังอย่างไม่รู้ตัว สถานการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ระดับหนี้บัตรเครดิตในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยผู้บริโภคจำนวนมากใช้ BNPL ควบคู่กับสินเชื่อประเภทอื่น จนกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือน

4.2 บทเรียนสำหรับประเทศไทย

จากกรณีศึกษาข้างต้น สามารถสรุปบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณา ดังนี้

1. การกำกับดูแล BNPL อย่างเป็นระบบ: จำเป็นต้องจัดให้ BNPL อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกับสินเชื่อทั่วไป โดยมีการตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ และมีแนวทางกำกับต้นทุนที่ชัดเจน

2. การรายงานข้อมูลเข้าสู่ระบบเครดิตบูโร: ผู้ให้บริการ BNPL ทุกประเภทควรถูกกำหนดให้รายงานข้อมูลผู้กู้เข้าสู่เครดิตบูโร เพื่อให้การประเมินสินเชื่อสะท้อนภาระหนี้ที่แท้จริงของผู้บริโภค

3. การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน: ควรมีมาตรการให้ความรู้ด้านการบริหารหนี้และการเงินส่วนบุคคล โดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เริ่มเข้าสู่ระบบสินเชื่อดิจิทัล4. การจำกัดวงเงินและการใช้ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง: พัฒนาเกณฑ์กำกับที่ใช้เทคโนโลยีช่วยประเมินความสามารถในการก่อหนี้ เพื่อป้องกันการอนุมัติสินเชื่อเกินศักยภาพของผู้ใช้

5. บทสรุปสำหรับผู้กำหนดนโยบาย

บริการ Buy Now Pay Later (BNPL) หรือระบบ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เติบโตอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยหนุ่มสาว ซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อแบบดั้งเดิม แม้ BNPL จะช่วยส่งเสริมการบริโภคและสนับสนุนภาคการค้าปลีก แต่หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินในระดับครัวเรือนและระดับระบบเศรษฐกิจใน
ระยะยาว

ข้อค้นพบสำคัญ

  • ผู้ใช้บริการ BNPL ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials และ Gen Z ซึ่งมีแนวโน้มขาดวินัยทางการเงินและมีพฤติกรรมการก่อหนี้บริโภคระยะสั้น
  • ผู้ให้บริการ BNPL รายใหญ่บางรายได้เริ่มรายงานข้อมูลเข้าสู่เครดิตบูโรแล้ว แต่ระบบยังไม่ครอบคลุมผู้ให้บริการทั้งหมด โดยเฉพาะในกลุ่มฟินเทคที่อยู่นอกการกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย
  • การขาดข้อมูลที่สมบูรณ์อาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงทางเครดิตที่คลาดเคลื่อน และเพิ่มความเสี่ยงในการก่อหนี้ซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัว
  • หลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย ได้ดำเนินมาตรการกำกับ BNPL อย่างจริงจัง ทั้งในด้านการตรวจสอบเครดิตและการรายงานข้อมูล

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

 1. จัดให้บริการ BNPL อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกับสินเชื่อส่วนบุคคล โดยกำหนดให้มีการตรวจสอบความสามารถในการชำระหนี้ก่อนการอนุมัติวงเงิน

 2. กำหนดให้ผู้ให้บริการ BNPL ทุกแห่งต้องรายงานข้อมูลสินเชื่อเข้าสู่ระบบเครดิตบูโรอย่างเป็นทางการ เพื่อให้การประเมินเครดิตของประชาชนมีความถูกต้องและครอบคลุม

 3. ส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินในระดับเยาวชนและนักศึกษา โดยบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับสินเชื่อดิจิทัลและความเสี่ยงทางการเงินไว้ในหลักสูตร

 4. พัฒนาเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อโดยใช้เทคโนโลยี AI/ML เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงของผู้ขอกู้ล่วงหน้าและป้องกันการให้สินเชื่อเกินกำลังความสามารถในการชำระคืน

หากไม่มีการดำเนินมาตรการเชิงรุก ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับภาวะ “หนี้เงา” และการสะสมหนี้เกินตัวในกลุ่มประชากรวัยทำงาน ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือนและความเสถียรของระบบการเงินในภาพรวม

อ้างอิงท้ายบท

ธนาคารกรุงไทย. (2566). จับตา BNPL – คู่แข่งใหม่ของบัตรเครดิต. Krungthai COMPASS. https://www.krungthai.com/Download/news-media-download/MediaFile/3557

ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2567). รายงานภาวะหนี้ครัวเรือนและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล. https://www.bot.or.th

บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ. (2566). รายงานสถานการณ์ข้อมูลเครดิตผู้บริโภค. https://www.ncb.co.th

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2566). สรุปภาวะเศรษฐกิจรายไตรมาส: สถานการณ์หนี้ครัวเรือน. https://www.nesdc.go.th

Australian Government Treasury. (2023). Regulating Buy Now, Pay Later in Australia: Consultation paper. https://treasury.gov.au/consultation/c2023-377540

Experian. (2023). BNPL in the US: Risk or Revolution?. https://www.experian.com/blogs/news/2023/02/bnpl-report

Financial Conduct Authority. (2022). Regulation of Buy Now Pay Later: Consultation paper CP21/36. https://www.fca.org.uk/publications/consultation-papers/cp21-36

Precedence Research. (2024). Buy Now Pay Later Market Size, Share, Growth 2023–2030. https://www.precedenceresearch.com/buy-now-pay-later-market

The Wall Street Journal. (2022, December 1). Buy Now, Pay Later Apps vs. Credit Cards: The Pros and Cons | WSJ [Video]. YouTube. https://www.youtube.com/watch?v=R98zW_a0h_A

The Wall Street Journal. (2024, July 18). How ‘Buy Now, Pay Later’ Makes Billions From ‘Free’ Loans | WSJ The Economics Of [Video]. YouTube. https://www.youtube.com/watch?v=3-5e-f00NnU

CNBC. (2024, May 22). Why ‘Buy Now, Pay Later’ Plans Are Threatening Banks And Credit Cards [Video]. YouTube. https://www.youtube.com/watch?v=n1gI8WdcgB4

ADD_Exim-Bank
ADD_Exim-Bank

นายมยูร บุญยะรัตน์
เศรษฐกรชำนาญการพิเศษ
ผู้เขียน

อารีรัตน์ สวัสดิ์เป้า
นักศึกษาฝึกงาน
ผู้เขียน