กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญในยุคดิจิทัล

กบข. กองทุนบำเหน็จบำนาญในยุคดิจิทัล

บทความโดย
นายปภินวิช ไหวดี

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่โครงสร้างประชากรแบบสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งคาดการณ์ว่า ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จะมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อภารกิจของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในฐานะกลไกหลักของรัฐในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ข้าราชการภายหลังเกษียณอายุราชการ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลด้านอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ส่งผลให้ช่วงเวลาหลังเกษียณยาวนานขึ้น และอาจนำไปสู่ความไม่เพียงพอของเงินออมเพื่อการใช้จ่ายในระยะยาว แม้สมาชิก กบข. จะได้รับเงินบำนาญจากรัฐบาลตามสิทธิแล้วก็ตาม

ภายใต้บริบทดังกล่าว กบข. จำเป็นต้องปรับบทบาทเชิงกลยุทธ์อย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อ ความท้าทายของระบบบำนาญไทยในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความท้าทายเหล่านี้ประกอบด้วยประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) การเพิ่มขึ้นของอายุขัยเฉลี่ยของประชากรไทย ซึ่งส่งผลให้ช่องว่างระหว่างอายุเกษียณ กับอายุขัยยาวนานขึ้น (2) ภาระทางการคลังของภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้นจากระบบบำนาญรูปแบบเดิม และ (3) ข้อจำกัด ด้านกฎระเบียบที่ยังไม่ทันต่อบริบททางเศรษฐกิจและการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่น ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงลักษณะของสินทรัพย์บางประเภทในการบริหารความเสี่ยง

นอกจากนี้ กบข. ยังมีภารกิจความสำคัญในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) และการสนับสนุนให้สมาชิกมีพฤติกรรมการออมและการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) โดยดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน ด้านสมาชิก และด้านการบริหารองค์กร ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริม ให้สมาชิกมีอิสรภาพทางการเงินหลังเกษียณ (Freedom for Living) และสามารถบริหารจัดการชีวิตภายหลังเกษียณได้อย่างมั่นคง

บทความนี้จึงมุ่งนำเสนอการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและเชิงนโยบายของ กบข. ภายใต้บริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ ยุคดิจิทัล โดยพิจารณาผ่านมิติด้านเศรษฐศาสตร์มหภาค การบริหารความเสี่ยงทางการเงินการลงทุน การลงทุนระหว่างประเทศ และการปรับตัวขององค์กรต่อเทคโนโลยีในเศรษฐกิจยุคดิจิทัล เพื่อสะท้อนถึงศักยภาพของ กบข. ในฐานะกองทุนบำเหน็จบำนาญของภาครัฐที่กำลังก้าวสู่การเป็น “กองทุนบำเหน็จบำนาญในยุคดิจิทัล” เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการไทยในช่วงวัยหลังเกษียณให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างรอบด้าน และเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่และภารกิจของ กบข. ให้มากยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้รับเกียรติจาก คุณทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งได้มอบโอกาสให้ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ในประเด็น ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้

นายทรงพล  ชีวะปัญญาโรจน์
เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

1. ยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของ กบข. ในยุคดิจิทัล

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว โดยคาดว่าจำนวนประชากรผู้อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป จะสูงกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดภายใน 5 ปี ซึ่งจะทำให้เห็นได้ว่าปัญหาของสมาชิก กบข. และปัญหาสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยกำลังเคลื่อนตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น สมาชิก กบข. ผู้เกษียณอายุราชการจะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยที่ยืนยาวมากขึ้น จากเดิมประมาณ 72 – 77 ปี เป็น 80 – 82 ปี ทำให้ระยะเวลาการใช้ชีวิตหลังเกษียณของสมาชิก กบข. เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 12 – 17 ปี เป็น 20 – 22 ปี จึงทำให้เงินสะสมของสมาชิกอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป แม้ว่าสมาชิก กบข. จะได้รับเงินบำนาญภายหลังเกษียณอายุราชการ แต่ก็อาจจะยัง ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายและเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และเมื่อสมาชิก กบข. มีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้จำนวนเงินหลังเกษียณทุกช่องทางรวมกันอาจจะยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายได้เช่นกัน ดังนั้น กบข. จึงมองว่ายุทธศาสตร์สำคัญในปัจจุบัน จะต้องสามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและความเพียงพอของเงินหลังเกษียณของสมาชิก กบข. เป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งนำมิติด้านอื่น ๆ มาพิจารณาประกอบกัน เพื่อให้สมาชิก กบข. มุ่งสู่การมี “Freedom for Living เกษียณมีสุข” ได้ในที่สุด ดังนั้น กบข. จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านลงทุน ด้านสมาชิก และด้านการบริหารองค์กร เพื่อให้เป้าหมายและภารกิจของ กบข. สัมฤทธิ์ผลในการทำให้สมาชิก กบข. เกษียณได้อย่างมีความสุขและมีเงินเพียงพอหลังเกษียณ

2. ความท้าทายระบบบำนาญไทยในยุคดิจิทัล

ความท้าทายระบบบำนาญไทยในยุคดิจิทัล แบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก ดังนี้

(1) ประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น กล่าวคือ ในอดีตช่องว่างระหว่างอายุขัยกับอายุเกษียณมีไม่มาก แต่ปัจจุบันเมื่อประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ช่องว่างระหว่างอายุขัยกับอายุเกษียณมีมากขึ้น ในขณะที่การเกษียณอายุราชการยังคงอยู่ที่อายุ 60 ปีเช่นเดิม ดังนั้น เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบอายุการเกษียณจากกรณีศึกษาของประเทศสิงคโปร์ที่จะเกษียณเมื่อมีอายุ 67 ปี จะเห็นได้ว่าช่องว่างระหว่างอายุขัยกับอายุเกษียณ ไม่มากเท่ากับกรณีของประเทศไทย จึงอาจกล่าวได้ว่าประเด็นอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้นนั้น ย่อมถือเป็นความท้าทายของทั้งภาครัฐและเอกชนในการบริหารจัดการระบบบำนาญไทยในยุคดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
(2) ระบบบำนาญของข้าราชการ กล่าวคือ เมื่อประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น รัฐบาลจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในส่วนของข้าราชการบำนาญเพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเงินบำเหน็จ เงินบำนาญ และค่ารักษาพยาบาล ในขณะที่เงินที่รัฐบาลเป็นผู้จ่ายสมทบให้สมาชิก กบข. ยังคงอยู่ในอัตราร้อยละ 3 เท่าเดิม ดังนั้น หากปรับเปลี่ยนอัตราเงินบำนาญมาอยู่ในรูปแบบเงินสมทบให้สมาชิก กบข. เพิ่มขึ้น ย่อมสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของภาครัฐและเกิดความเพียงพอต่อสมาชิก กบข. ในช่วงหลังเกษียณ ทั้งนี้ หน่วยงานทุกภาคส่วนควรจะต้องพิจารณาและศึกษาแนวทางร่วมกันต่อไปในอนาคต
(3) ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ ในภาวะปัจจุบันผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทุกประเภท มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ระดับความเสี่ยงกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มในอดีตที่วิกฤตทางการเงินเกิดขึ้นแบบเป็นวัฏจักร แต่ความเสี่ยงในปัจจุบันกลับถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการกีดกันทางการค้า ส่งผลให้ลักษณะของสินทรัพย์บางประเภทมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทในทางเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น ทองคำ กลายเป็นสินทรัพย์บริหารความเสี่ยงที่มีความมั่นคงสูง เป็นต้น แต่กฎระเบียบภาครัฐยังไม่ได้ปรับตัวได้ทันต่อปัจจัยดังกล่าว ทำให้ กบข. อาจจะยังไม่สามารถลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเกิดข้อจำกัดด้านกฎระเบียบในการจัดการลงทุนให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลก

3. เป้าหมายของ กบข. ภายใต้บริบทของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

เป้าหมายของ กบข. คือ การเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 (+2%) จึงอยากให้สมาชิกมีการออมเงินเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีเงินเพียงพอ ณ วันเกษียณอายุ โดยเป้าหมายของ กบข. สามารถแบ่งออกเป็น 3 เป้าหมาย ดังนี้

(1) การสร้างความเข้าใจต่อสมาชิก กบข. ใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ “การสร้างความเข้าใจในพฤติกรรม การใช้จ่ายเงินหลังเกษียณของตนเอง” เพื่อให้สมาชิก กบข. ทราบว่าตนเองมีความต้องการในการใช้จ่ายเงิน หลังเกษียณมากน้อยเพียงใด และเตรียมการวางแผนการลงทุนผ่าน กบข. ให้บรรลุเป้าหมายของการเอาชนะ เงินเฟ้อได้สอดคล้องกับเงินออมขั้นต่ำของตนเอง และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการลงทุนที่กล่าวว่า “ยิ่งลงทุนเสี่ยงสูง ก็ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง (High Risk High Return)” เพราะ เมื่อสมาชิกไม่อยากรับ ความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่ยังคงต้องการผลตอบแทนสูง ก็ย่อมมีความเป็นไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้ กบข. จึงมีเป้าหมาย ในการสร้างความเข้าใจต่อสมาชิก เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวความสัมพันธ์ของความเสี่ยงในการลงทุน ให้มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินหลังเกษียณของตนเอง
(2) การเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรบุคคล เนื่องจาก กบข. เป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ชนะเงินเฟ้อ ดังนั้น บุคลากรของ กบข. จะต้องเป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ทางด้านการเงินการลงทุนที่พร้อมในทุกสถานการณ์ ทั้งในกรณีปกติ และกรณีเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
(3) การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2568 ให้มีความสอดคล้องและต่อเนื่องกับแผนยุทธศาสตร์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) พ.ศ. 2567 – 2572 (แผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ กบข.) เพื่อให้การดำเนินงานตามภารกิจด้านลงทุน ด้านสมาชิก และด้านการบริหารองค์กร เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

4. ผลกระทบของนโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ (Tariff) ต่อการลงทุนของ กบข.

นโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Tariff) ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกีดกันทางการค้า เพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินทรัพย์ ในประเทศไทย เนื่องจากต้นทุนภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตาม กบข. ได้ดำเนินการกระจายการลงทุนไปยังหลายประเทศทั่วโลก ไม่ได้จำกัดการลงทุนอยู่เฉพาะภายในประเทศไทย จึงทำให้สามารถเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านประเภทสินทรัพย์ ประเทศที่เลือกลงทุน และกลยุทธ์ที่ใช้ ในการลงุทน แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนระยะสั้นจากนโยบายดังกล่าว กบข. ก็ยังคงบริหารจัดการได้อย่าง มีประสิทธิภาพ และรักษาผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสม พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อสร้าง ความมั่นใจแก่สมาชิก กบข.

5. การลงทุนของ กบข. ภายใต้วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์โลก

ภายใต้สถานการณ์วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจทวีความรุนแรงขึ้น ดังนั้น ความผันผวนและความไม่แน่นอนในการลงทุน จึงยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ และเพื่อรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าว กบข. ได้ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์และทำความเข้าใจลักษณะของสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างรอบด้าน เพื่อคัดเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับบริบทของความขัดแย้งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ เพื่อรักษาระดับผลตอบแทนให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติ

6. กบข. กับความร่วมมือด้านการลงทุนกับหน่วยงานต่างประเทศ

การร่วมมือด้านการลงทุนกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภายในประเทศและหน่วยงานต่างประเทศ จะช่วยให้เกิดการแบ่งปันทางด้านทรัพยากรร่วมกันมากขึ้น ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนและ แบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น กบข. ได้สร้างความร่วมมือด้านการลงทุนกับองค์กรการลงทุนเพื่อบริหารทุนสำรองของบรูไนดารุสซาลาม (Brunei Investment Agency: BIA) โดยที่ผ่านมาได้มี การร่วมมือด้านการลงทุนมาแล้ว 2 ครั้ง คือ การร่วมจัดตั้งกองทุนไทยทวีทุน 1 และกองทุนไทยทวีทุน 2 รวมมูลค่าประมาณ 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือการทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ระหว่าง กบข. กับ BIA เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ในเชิง Economies of Scale ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การร่วมมือกันในแต่ละมิติจะทำให้เกิดการทวีคูณของผลประโยชน์ในหลายด้านต่อสมาชิก กบข. อีกด้วย

7. กบข. กับ Financial Literacy ในยุคดิจิทัล

กบข. ให้ความสำคัญกับการยกระดับความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) แก่สมาชิก กบข. เพื่อเตรียมความพร้อมในการเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ผ่านการวางแผนในแต่ละช่วงวัยอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ กบข. ได้สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสถานศึกษาต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการออม การลงทุน การวางแผนการเงิน และการบริหารเงินหลังเกษียณ อันเป็นรากฐานของความมั่นคงทาง การเงินส่วนบุคคลในระยะยาวแก่สมาชิก กบข.

8. ภัยทางการเงินในยุคดิจิทัลที่อาจเป็นภัยคุกคามสมาชิก กบข.

กบข. ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้แก่สาธารณชน (Public Awareness) ในการเตือนภัยจากมิจฉาชีพรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมิจฉาชีพได้มีการนำเอาเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ มาใช้ในการหลอกลวงเหยื่อเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสมาชิกที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว (พ้นจากสถานะการเป็นสมาชิก กบข. ตามกฎหมาย) ทั้งนี้ กบข. อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางเพื่อขยายขอบเขตในการดูแลให้ครอบคลุมไปยังอดีตสมาชิก กบข. ในรูปแบบของ Lifetime Partner ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคต กบข. จะสามารถดูแลและให้คำปรึกษาในด้านที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนทางการเงินของอดีตสมาชิก กบข. ได้ตลอดอายุขัย

9. บทสรุป ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อแนะนำต่อสมาชิก กบข.

กบข. มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นองค์กรที่ใส่ใจสมาชิกและให้ความสำคัญกับหลักการความยั่งยืน (Environment Social and Governance: ESG) โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ของ กบข. เพื่อส่งเสริม ให้สมาชิกมีเงินเพียงพอหลังเกษียณ มีอิสรภาพทางการเงิน และมีความรู้ทางการเงินที่เหมาะสม ผ่านการดำเนินงานด้านลงทุน ด้านสมาชิก และด้านการบริหารองค์กร โดย กบข. ขอแนะนำให้สมาชิก กบข. ควรติดตามแผนการลงทุนของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยด้านความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะสมาชิก กบข. ที่ยังไม่เคยปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนมาก่อน ควรศึกษาเพื่อปรับแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับ ความต้องการใช้เงินหลังเกษียณของตนเอง

นอกจากนี้ สมาชิก กบข. สามารถติดต่อกับ กบข. ได้หลากหลายช่องทาง เช่น My GPF Application, My GPF Website, LINE กบข. @gpfcommunity และ e-Statement ซึ่งเป็นช่องทางที่ กบข. สามารถให้บริการคำแนะนำและการเข้าถึงสมาชิกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จากการสัมภาษณ์ผ่าน 9 คำถามข้างต้น จะเห็นว่า ในบริบทของสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ เต็มรูปแบบ” กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งใน เชิงโครงสร้างประชากร เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ความเพียงพอของเงินหลังเกษียณ” ของสมาชิก กบข. ที่ได้รับผลกระทบจากอายุขัยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น เงินเฟ้อ และต้นทุนการดำรงชีวิตที่สูงขึ้น กบข. จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการลงทุน ด้านสมาชิก และด้านการบริหารองค์กร เพื่อขับเคลื่อนภารกิจสู่เป้าหมาย “Freedom for Living: เกษียณมีสุข” เพื่อยืนหยัดในบทบาทองค์กรเพื่อสมาชิก ด้วยความมุ่งมั่น ในการสร้างความมั่นคงหลังเกษียณในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ด้วยยุทธศาสตร์ที่รอบด้าน การลงทุน ที่ยืดหยุ่น การพัฒนาความรู้และการปกป้องสมาชิกจากภัยคุกคาม เพื่อเป้าหมายสูงสุด “เกษียณมีสุข อิสรภาพทางการเงิน และความรู้ทางการเงินที่ยั่งยืน”

FootNote: Brunei Investment Agency (BIA) เป็นองค์กรที่จัดตั้งโดยสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารทุนสำรองของบรูไนฯผ่านการลงทุนในทรัพสินย์ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อยู่ภายใต้ การบริหารงานของรัฐบาลบรูไนดารุสซาลาม โดยมีกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจบรูไนฯ เป็นหน่วยงานบริหารองค์กรดังกล่าว จัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยมีสำนักงานใหญ่ ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไนฯ

ADD_กบข
ADD_Exim-Bank

นายปภินวิช ไหวดี
เศรษฐกรชำนาญการ
ผู้เขียน