ระบบจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว
กวิน เอี่ยมตระกูล
บุณฑริกา ชลพิทักษ์วงศ์
ปภัช สุจิตรัตนันท์
ผู้เขียน

บทนำ
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การค้าระหว่างประเทศถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะการนำเข้าส่งออก ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการขนส่ง เช่น ท่าเรือขนส่งสินค้า ที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านทางทะเล การขนส่งสินค้าที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมัน ปิโตรเคมี และสารเคมีผ่านท่าเรือ ซึ่งมีความสำคัญในกระบวนการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ต้องการการจัดการที่เฉพาะเจาะจงและมาตรฐานความปลอดภัยสูง ทั้งในด้านการรักษาคุณภาพของสินค้าและการปกป้องสิ่งแวดล้อม การขนส่งของเหลวจึงไม่เพียงแต่เป็นการขนส่งทั่วไป แต่ยังต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ด้วยความสำคัญของการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือ การพัฒนาและปรับปรุงระบบท่าเรือให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการแข่งขันที่สูงขึ้น
ทรัพยากรปิโตเลียมทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่ใช้ผลิตพลังงานในภาคอุตสาหกรรม ใช้เป็นวัตถุตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มากมาย อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรปิโตเลียมของประเทศไทยนั้น มีอยู่อย่างจำกัด จึงจำเป็นต้องนำเข้าปิโตเลียมจากต่างประเทศจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ มีการให้บริการพิธีการศุลกากร เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมันพืช และเคมีภัณฑ์ที่นำเข้าหรือส่งออกโดยเรือบรรทุกสินค้าเหลวในระวางหรือ Tanker การให้บริการพิธีการศุลกากรดังกล่าว แตกต่างจากพิธีการศุลกากร นำเข้า-ส่งออกทั่วไป นั่นคือ พนักงานศุลกากรต้องทำการตรวจสอบ และรับรองปริมาตรความจุถัง ที่ใช้เป็นภาชนะรับ และจ่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว รวมถึงถังที่ติดตั้งเครื่องวัดระดับและเครื่องวัดอุณหภูมิ ชนิดอัตโนมัติ (ATG) สำหรับบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว LPG ก่อนการนำสินค้าออกจากอารักขาศุลกากร กระบวนงานดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากปริมาณ และน้ำหนักสินค้าที่ตรวจวัดได้จากอุปกรณ์ดังกล่าวจะถูกนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าภาษีอากร ปัจจุบัน การปฏิบัติงานและการให้บริการยังมีข้อจำกัดและปัญหาในการจัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นคำขอใช้ถัง ข้อมูลการอนุมัติใช้ถัง หรือข้อมูลตารางคำนวณปริมาตรความจุประจำถัง ยังเป็นการจัดเก็บในรูปแบบกระดาษเอกสาร และใช้โปรแกรมพื้นฐานอย่าง Microsoft Office Excel มาเป็นเครื่องมือในการกำกับ ด้วยเอกสารที่มีเป็นจำนวนมาก และไม่มีระบบการบริหารจัดการฐานข้อมูลที่ใช้ระบบดิจิทัลมารองรับก่อให้เกิดปัญหาในการจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลสำหรับใช้ควบคุมการสูบถ่ายผลิตภัณฑ์ขณะนำเข้าและส่งออกไม่สามารถตอบสนองการทำงานที่เป็นปัจจุบันเกิดความล่าช้าต่อกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาต่ออายุการใช้งานถัง สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพจึงได้พัฒนาระบบงานจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว Tank Monitoring Control System หรือ TMCS ภายใต้แนวคิดการปรับเปลี่ยนมุ่งสู่ความเป็นราชการ 4.0 และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับงานบริการ Service improvement ให้สามารถรองรับกระบวนงานตั้งแต่ต้นจนจบ ระบบ TMCS เป็นระบบบริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลเพื่อใช้ในกระบวนงานตรวจสอบ และรับรองถังทั้งระบบ ตั้งแต่ขั้นตอนการขออนุญาตใช้ถัง การเก็บข้อมูลทะเบียนถัง การแจ้งเตือนผู้ประกอบการเมื่อครบกำหนดต่ออายุที่แสดงผลบนเว็บเพจ (Web Page) ทำให้สามารถต่อยอดหรือพัฒนาการให้บริการที่ทันสมัย ลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลตามแนวคิด Open Government ของรัฐบาลเจ้าหน้าที่สามารถเรียกดูพร้อมปรับปรุงข้อมูลให้มีความเป็นปัจจุบันได้ทุกที่ทุกเวลาทั้งยังสามารถดึงข้อมูลและสถิติต่าง ๆ มาใช้วิเคราะห์และจัดทำรายงานเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งทางด้านการปฏิบัติงานและการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ ผู้ประกอบการจะได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว มีคุณภาพ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย อันอาจเกิดขึ้นจากการนำเข้าส่งออก นอกจากนี้ ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมกับภาครัฐในการใช้ข้อมูลที่เปิดเผย ผ่านระบบออนไลน์ไปประกอบการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้อีกด้วย
บทความนี้จะเล่าถึงแนวคิด “TMCS: Tank Monitoring Control System ระบบจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว” ทั้งนี้ กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลังร่วมกับวารสารการเงินการคลัง ได้รับเกียรติจากเจ้าของนผลงานภายใต้การพัฒนาของบุคลากรจากสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ประกอบด้วย คุณณัฐกร มะตะแสง เจ้าพนักงานศุลกากรชำนาญงาน คุณไกรพล กล่อมจิตต์ นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ และ คุณตรี ณ ระนอง นักวิชาการศุลกากรปฏิบัติการ ทั้งนี้ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ได้มีส่วนสำคัญในพัฒนาระบบจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการพัฒนาระบบการทำงานเพื่อตอบโจทย์การทำงานของภาครัฐ และเป็นการนำนวัตกรรมเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และผลงานดังกล่าวยังเป็นผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับ Diamond ในการแข่งขัน MOF Hackathon เพชรวายุภักษ์ ครั้งที่ 9 ประเภทแนวคิดนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาองค์กร โดยนวัตกรรมดังกล่าวมีรายละเอียดของแนวคิด ดังนี้
สาระสำคัญและความเป็นมาของนวัตกรรม
ผลงานชิ้นนี้เกิดขึ้นจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ ที่เล็งเห็นว่าการทำงานทางด้านการตรวจสอบการตรวจปล่อยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ทำอยู่ในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอและมีการทำงานบางขั้นตอนที่ยังซ้ำซ้อนอยู่ และสินค้าที่นำเข้าเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง อีกทั้ง ผู้ประกอบการเป็นผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรท่าเรือกรุงเทพพิจารณาว่า หากทางหน่วยงานพัฒนากระบวนการและขั้นตอนของพิธีการศุลกากรให้ดียิ่งขึ้นก็จะส่งผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการลดลงและจะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบ TMCS: Tank Monitoring Control System ระบบจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว (ระบบ TMCS) เพื่อให้การทำงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเกิดการเปลี่ยนผ่านของการทำงานที่เป็นระบบการทำมือ (Manual) ให้มีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น และเมื่อการทำงานเป็นดิจิทัลมากขึ้นจะทำให้การตรวจสอบทำได้สะดวกมากขึ้น ตลอดจนจะส่งผลให้ต้นทุนและระยะเวลาการนำเข้าของผู้ประกอบการลดลง
สภาพปัญหาก่อนมีนวัตกรรมระบบ TMCS
หน้าที่หลักของฝ่ายบริการศุลกากรที่ 3 ส่วนบริการศุลกากร 2 สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพกรมศุลกากร คือ 1) การให้บริการด้านพิธีการศุลกากรและการตรวจปล่อยสินค้าที่มีการนำเข้าส่งออก สินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมันพืช สารเคมี เป็นต้น ซึ่งถือเป็นว่าสินค้ามูลค่าสูงที่นำเข้ามายังประเทศไทย โดยเฉลี่ยมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปีงบประมาณ 2) การอนุมัติการใช้ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับการนำเข้าและส่งออก ซึ่งการอนุมัติการใช้ถัง 1 ใบ นั้นจะมีการคำนวณ เช่น ถังใบนั้นหากใส่ผลิตภัณฑ์ 1 เมตร จะมีสินค้าอยู่กี่ลิตร เป็นต้น กรมศุลกากรจึงตั้งฝ่ายตรวจปล่อยสินค้าชนิดนี้โดยเฉพาะ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด
โดยที่ผ่านมาก่อนมีระบบ TMCS การทำงานต่าง ๆ ตามที่กล่าวมานั้นเป็นการทำงานบนกระดาษ ทำให้เกิดข้อจำกัด หากต้องการตรวจสอบข้อมูลจำเป็นต้องนำเอาเอกสารของแต่ละถังมาทำการตรวจสอบ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ยุ่งยากและใช้เวลาอย่างมาก รวมถึงมีข้อจำกัดในการสืบค้นข้อมูล นอกจากนี้ยังมีประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ที่กำหนดหน้าที่ของกรมศุลกากรเอาไว้เรื่องการอนุมัติถัง ซึ่งแต่ละถังจะมีอายุ 15 ปี และเมื่อเวลาผ่านไปทุก 5 ปี ต้องมีการตรวจสอบการใช้ถัง ซึ่งประมวลฯ ยังกำหนดให้กรมศุลกากรต้องเป็นผู้แจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการว่าถังที่จะนำมาใช้เป็นภาชนะรับผลิตภัณฑ์ฯ ที่นำเข้าส่งออก ใกล้ครบกำหนดอายุแล้วซึ่งรูปแบบการทำงานที่ผ่านมานั้น ข้อมูลที่จะนำมาใช้แจ้งเตือนผู้ประกอบการถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบไฟล์ Excel ทำให้การแจ้งเตือนในบางครั้งทำได้ไม่ทันท่วงที ส่งผลให้บางกรณีที่ผู้ประกอบการจะนำสินค้าเข้ามาแล้วแต่ถังที่จะใช้รับผลิตภัณฑ์ฯ นั้นหมดอายุ จึงเกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ เช่น ค่าเสียเวลาของเรือ รวมถึงค่าเสียโอกาสในการจะนำสินค้าไปใช้ของผู้ประกอบการ และยังทำให้หน่วยงานศุลกากรไม่สามารถควบคุมการนำเข้าส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อนำเอาระบบ TMCS เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน จากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาปฏิบัติงานในการนำเข้าส่งออกตลอดกระบวนการประมาณ 2-4 วัน ยกเว้นกรณีที่ตรวจพบว่าถังที่จะใช้บรรจุสินค้านั้นกำลังจะหมดอายุในขณะนำเข้าส่งออก กรณีดังกล่าวต้องเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบปรับปรุง หรือปัญหาของการนำเข้าสินค้าไม่ตรงกับรายการที่แจ้งไว้กับกรมศุลกากร เวลาในการแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องมีการเรียกเอกสารเพื่อมาตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งใช้ระยะเวลาเพิ่มอีกประมาณ 7-15 วัน โดยการนำเข้าส่งออกสินค้าแต่ละครั้งจะมีค่าใช้จ่ายแฝงประมาณ 400 บาทต่อวัน นอกจากนี้ เรือแต่ละลำที่บรรทุกสินค้าเข้ามาจะมีชั่วโมงเรือในการสูบถ่ายสินค้า ซึ่งหากมีปัญหาเกิดขึ้นจะต้องมีดำเนินการต่าง ๆ เพิ่มเติม ส่งผลให้ชั่วโมงในการทำงานของเรือนานยิ่งขึ้น และส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าเสียเวลาของเรือประมาณ 13,000 – 15,000 บาทต่อ
ภายหลังการพัฒนาระบบ TMCS ก็จะสามารถแจ้งเตือนผู้ประกอบการได้ทันเวลา รวมถึงทราบทันทีว่าผลิตภัณฑ์ที่บรรจุตรงกับภาชนะบรรจุที่ได้ขออนุญาตไว้หรือไม่ ลดระยะเวลาในการสืบค้นข้อมมูล จึงสามารถช่วยวางแผน และให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการได้ก่อนเกิดปัญหา ตลอดจนลดต้นทุนการนำเข้าสินค้าและ
ค่าเสียโอกาสในการใช้ผลิตภัณฑ์ล่าช้า อีกทั้ง นวัตกรรมนี้จัดทำเป็นรูปแบบ Web Page ทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่หน้างาน และผู้ประกอบการก็สามารถตรวจสอบข้อมูลของตนเองได้ ทำให้มั่นใจว่าจะไม่ทำผิดระเบียบของศุลกากร
สิ่งที่เรียนรู้จากการจัดทำนวัตกรรมและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต
ในปัจจุบัน มีแนวคิดที่จะนำระบบ TMCS ไปใช้กับหน่วยงานที่ตรวจปล่อยผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเช่นกัน
จึงรวบรวมความเห็นจากสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด เพื่อนำมาปรับปรุง ระบบให้ตรงกับความต้องการ พร้อมทั้งจะขยายไปยังท่าเรืออื่น ๆ ที่มีการนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลวในอนาคต เนื่องจากภาชนะบรรจุ 1 ใบ มีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น
กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมธุรกิจพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น การนำระบบ TMCS ไปเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานเดิม ทำให้เมื่อกรมศุลกากรตรวจสอบเสร็จ หน่วยงานอื่น ๆ ก็สามารถเข้ามาอนุมัติได้ นอกจากการแจ้งเตือนวันหมดอายุยังสามารถต่อยอดไปเป็นการแจ้งเตือนความปลอดภัยของถังที่บรรจุผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในระดับสูง จึงเป็นผลงานที่ส่งผลต่อความปลอดภัยทางสังคมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก
บทสรุป
จากเนื้อหาข้างต้นการพัฒนาระบบ TMCS ซึ่งเป็นระบบจัดการถังผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์อื่นที่เป็นของเหลวที่ได้รับการพัฒนาโดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการตรวจสอบและจัดการข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์ของเหลว ระบบ TMCS ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับถังที่ใช้ในการบรรจุผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เช่น การขออนุญาตใช้ถัง การเก็บข้อมูลทะเบียนถัง และการแจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดต่ออายุของถัง การพัฒนาระบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการทางศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ของเหลว โดยช่วยลดข้อจำกัดและปัญหาจากการใช้กระดาษและการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบที่ไม่ทันสมัย การใช้ระบบ TMCS ทำให้การตรวจสอบและการบริหารจัดการข้อมูลมีความสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของระบบ TMCS คือ การลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการล่าช้าในการนำเข้าและส่งออก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเวลาของเรือและค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการไม่ตรงตามกำหนดการที่แจ้งกับศุลกากร นอกจากนี้ ระบบยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางสังคมและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการควบคุมการนำเข้าส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนานวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ภาครัฐสามารถให้บริการที่ดีขึ้นแก่ผู้ประกอบการ แต่ยังสามารถต่อยอดไปสู่การปรับปรุงกระบวนการงานในท่าเรืออื่น ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและการอนุมัติของผลิตภัณฑ์และภาชนะบรรจุอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ


ดร.กวิน เอี่ยมตระกูล
เศรษฐกรชำนาญการ
กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน

นางสาวบุณฑริกา ชลพิทักษ์วงศ์
เศรษฐกรปฏิบัติการ
กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน

นางสาวปภัช สุจิตรตนันท์
เศรษฐกรปฏิบัติการ
กองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน