กองนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน
ผู้เขียน
1. บทนำ
ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก โดยในปี 2567 มีการส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่ารวม 28,827.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าเกษตรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรกมีสัดส่วนร้อยละ 88.06 ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมด ได้แก่ (1) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ร้อยละ 22.58 (2) ข้าว ร้อยละ 22.32 (3) ยางพารา ร้อยละ 17.32 (4) ไก่ ร้อยละ 14.96 และ (5) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ร้อยละ 10.87 แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรเพียงไม่กี่รายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ซึ่งมีการส่งออกสูงเป็นอันดับหนึ่ง เนื่องจากรสชาติมีเอกลักษณ์เฉพาะและเป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศ เช่น ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าวอ่อน เป็นต้น และด้วยคุณลักษณะเฉพาะของผลไม้ เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วจะเก็บรักษาไว้ได้ไม่นาน จึงทำให้พ่อค้าคนกลางเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพื่อนำสินค้าไปสู่ผู้บริโภคผ่านช่องทางต่าง ๆ อาทิ ตลาดกลางสินค้าเกษตร หรือตลาดสด เป็นต้น ในขณะที่บทบาทของล้งจะเป็นผู้ติดต่อซื้อผลไม้จากเกษตรกรทั้งแบบเหมาสวนและไม่เหมาสวนก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยว เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ ในปัจจุบันผู้บริโภคนิยมซื้อขายสินค้าประเภทต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถขายสินค้าให้กับผู้บริโภคโดยตรง ส่งผลให้เกษตรสามารถเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าเกษตรเองได้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรของไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่โปร่งใสในการซื้อขาย การตรวจสอบย้อนกลับสินค้าเกษตรไปยังแหล่งผลิตที่ยากลำบาก ความเสี่ยงด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า และความผันผวนของราคาที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้บริโภค อีกทั้งปัจจุบันต้องเผชิญกับการแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงของตลาดการค้าระหว่างประเทศที่มีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น หากสามารถนำเครื่องมือทางการเงิน ได้แก่ กลไกการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (Escrow) ตามพระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พระราชบัญญัติฯ)เข้ามาทำหน้าที่ดูแลให้คู่สัญญาปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ก็จะช่วยให้เกษตรกรและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าเกษตรของประเทศไทย โดยการนำเครื่องมือทางการเงินและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบของการซื้อขายสินค้าเกษตร จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนที่ช่วยให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่น การบริหารความเสี่ยง และสามารถปรับตัวเข้าสู่ตลาดการค้าแห่งใหม่ที่มีศักยภาพและมีมูลค่าที่สูงขึ้นได้
2. Escrow คืออะไร และมีกลไกสร้างความเชื่อมั่นให้คู่สัญญาได้อย่างไร?
กลไกของ Escrow ตามพระราชบัญญัติฯ คือ การกำหนดให้มีผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (Escrow Agent) เข้ามาดูแลการชำระหนี้ระหว่างคู่สัญญาให้ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โดยผู้ซื้อจะส่งมอบเงินให้กับ Escrow Agent ส่วนผู้ขายจะส่งมอบทรัพย์สินให้ Escrow Agent เก็บรักษาไว้จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามข้อตกลงได้ครบถ้วน จึงจะส่งมอบเงินให้ผู้ขายและส่งมอบทรัพย์สินให้กับผู้ซื้อ และในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถทำตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา Escrow Agent ก็จะทำหน้าที่ส่งมอบเงินคืนให้กับผู้ซื้อและส่งมอบทรัพย์สินคืนให้กับผู้ขาย ซึ่งจะช่วยลดข้อพิพาทและการฟ้องร้องในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามสัญญา
นอกจากนี้ ในปี ๒๕๖๒ ได้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติฯ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกรรม Escrow โดยขยายขอบเขตให้ Escrow Agent สามารถดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สินหรือเอกสารเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ตามความต้องการของคู่สัญญา (เดิมต้องมีการดูแลทั้งเงินและทรัพย์สินไปพร้อมกัน) แต่จะต้องมีการระบุไว้ในสัญญาดูแลผลประโยชน์ให้ชัดเจน รวมทั้งได้มีการปรับปรุงการดำเนินธุรกรรมให้ครอบคลุมตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและรองรับวิธีปฏิบัติที่คล่องตัวมากขึ้น โดยมีขั้นตอนการให้บริการของ Escrow Agent ปรากฏตามแผนภาพที่ 1

แผนภาพที่ 1 ขั้นตอนการทำธุรกรรม Escrow ภายใต้พระราชบัญญัติฯ
ปัจจุบันมีสถาบันการเงินจำนวนทั้งสิ้น 8 แห่ง ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Escrow Agent ได้แก่ 1) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 2) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 4) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 5) ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น สาขากรุงเทพฯ 6) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) 7) ธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น เอ สาขากรุงเทพฯ และ 8) ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขากรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ภาพรวมของสถิติการทำธุรกรรม Escrow นับตั้งแต่มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติฯ ตั้งแต่ปี 2551 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 สรุปได้ ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 สถิติการทำธุรกรรม Escrow ตั้งแต่ปี 2551 – ไตรมาส 1 ปี 2568
ประเภทของธุรกรรม | จำนวนธุรกรรม Escrow | ร้อยละของธุรกรรม Escrow ทั้งหมด | มูลค่าภายใต้ สัญญา Escrow (ล้านบาท) | ร้อยละของมูลค่าภายใต้สัญญา Escrow ทั้งหมด |
1. ธุรกรรมด้านตลาดทุน | 42 | 70.00 | 870,996.38 | 99.22 |
2. ธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ | 4 | 6.67 | 852.87 | 0.10 |
3. ธุรกรรมด้านการซื้อขายทรัพย์สินและบริการอื่น ๆ | 14 | 23.33 | 5,984.08 | 0.68 |
รวม | 60 | 100.00 | 877,833.33 | 100.00 |
นับตั้งแต่พระราชบัญญัติฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2551 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีการนำธุรกรรม Escrow ไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งสิ้น จำนวน 60 สัญญา มูลค่าภายใต้สัญญา Escrow รวมทั้งสิ้น จำนวน 877,833.33 ล้านบาท ประกอบด้วยธุรกรรมด้านตลาดทุน จำนวน 42 สัญญา คิดเป็นร้อยละ 70.00 มูลค่าภายใต้สัญญา Escrow 870,996.38 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.22 ธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4 สัญญา คิดเป็นร้อยละ 6.67 มูลค่าภายใต้สัญญา Escrow 852.87 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.10 และธุรกรรมด้านการซื้อขายทรัพย์สินและบริการอื่น ๆ จำนวน 14 สัญญา คิดเป็นร้อยละ 23.33 มูลค่าภายใต้สัญญา Escrow 5,984.08 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.68
อย่างไรก็ดี จากสถิติข้อมูลการทำธุรกรรม Escrow เห็นได้ว่า ภาคธุรกิจยังมีจำนวนการทำธุรกรรม Escrow ในสัดส่วนที่ต่ำโดยเฉพาะธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ และการซื้อขายทรัพย์สินและบริการอื่น ๆ เมื่อเทียบกับธุรกรรมด้านตลาดทุน
3. รูปแบบการซื้อขายสินค้าเกษตร และอุปสรรคที่ยังรอการแก้ไข
การซื้อขายสินค้าเกษตรในประเทศไทย ดำเนินการผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ โดยช่องทางแบบดั้งเดิม เช่น การขายโดยตรงของกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) การขายผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นต้น ทั้งนี้ การขายสินค้าเกษตรผ่านพ่อค้าคนกลาง แม้จะเป็นช่องทางที่สำคัญในการกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภค แต่เกษตรกรมักประสบปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ อาทิ
(1) พ่อค้าคนกลางที่มีอำนาจต่อรองสูงกว่าเกษตรกรรายย่อย จะใช้กลไกทางการตลาด กดราคารับซื้อผลผลิตให้ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่ากับต้นทุนในการผลิต
(2) ในการซื้อสินค้าเกษตรอาจมีการจ่ายเงินมัดจำบางส่วนไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อถึงเวลาที่กำหนดหากไม่มีการชำระเงินในส่วนที่เหลือ จะส่งผลให้เกษตรกรเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถนำผลผลิตไปขายให้กับผู้ซื้อรายใหม่ได้ทันเวลา ทำให้ผลผลิตเน่าเสียหรือต้องจำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าเดิม
โดยมีตัวอย่างความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ได้แก่ กรณีการซื้อขายผลไม้ทุเรียน เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลายาวนานและสภาพอากาศที่ร้อนผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อผลผลิตของทุเรียนลดลง และเมื่อผลผลิตทุเรียนลดลง จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ส่งออก (ล้ง) ภายในประเทศ ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งซื้อผลผลิตทุเรียนดังกล่าว ประกอบกับมีผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุผลไม้ (ล้ง) ภายนอกประเทศ เข้ามาซื้อผลผลิตทุเรียนโดยตรง จึงทำให้การแข่งขันยิ่งรุนแรงขึ้นอีก ดังนั้น เกษตรกรจึงนิยมขายทุเรียนแบบเหมาสวนให้กับผู้ประกอบการส่งออก (ล้ง) โดยมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตผ่านนายหน้าหรือผู้รวบรวม ซึ่งในบางครั้งได้เกิดการหลอกลวงและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คู่สัญญา (ผู้ซื้อและผู้ขาย) ตกลงกันไว้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบการซื้อขายและภาพลักษณ์ของตลาดทุเรียนอย่างรุนแรงได้
ในขณะที่การซื้อขายสินค้าเกษตรแบบสมัยใหม่ในประเทศไทย ซึ่งดำเนินการผ่านระบบออนไลน์หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ได้เริ่มมีบทบาทและมีการเติบโตสูงขึ้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) E-marketplace (2) Social Commerce และ (3) Website ทั้งนี้ การใช้ช่องทางSocial commerce และ E-marketplace ในการจำหน่ายสินค้า จะเป็นช่องทางในการนำผู้ซื้อมาพบกับผู้ขายซึ่งมีเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม จะนำมาซึ่งความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางออนไลน์และการฉ้อโกงทางออนไลน์ เช่น การไม่จัดส่งสินค้า การจัดส่งสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือจำนวนของสินค้าไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ เป็นต้น ความเสี่ยงเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรโดยรวม
4. โอกาสและความท้าทายในการทำธุรกรรม Escrow
4.1 ประเด็นด้านโอกาส
(1) การทำธุรกรรม Escrow ไม่ได้เป็นกฎหมายภาคบังคับ แต่เป็นทางเลือกให้แก่คู่สัญญาที่ต้องการมีคนกลาง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและบริหารความเสี่ยงในการทำธุรกรรมประเภทต่าง ๆ และเปิดกว้างให้ธุรกรรมทุกประเภทสามารถใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ได้ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของการนำมาใช้กับสินค้าเกษตร รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทานด้วย ขึ้นอยู่กับความต้องการของคู่สัญญา เช่น การดูแลรักษาเงินสำหรับการซื้อปัจจัยการผลิต การซื้อเครื่องจักรสำหรับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร การซื้อที่ดินสำหรับทำการเกษตร เป็นต้น
(2) ประเทศคู่ค้ามีเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าเกษตรที่เข้มงวด ซึ่งผู้ประกอบการส่งออกจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมีตัวอย่างที่สำคัญ คือ การส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนผู้ประกอบการส่งออกต้องมีใบรับรองระบบการปฏิบัติที่ดีในการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิต หรือเป็นเครื่องหมายในการรับรองคุณภาพการผลิตของผู้ผลิต รวมทั้งต้องมีใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งต่อ (Phytosanitary Certificate for Re-export) ในขณะที่เกษตรกรจะต้องมีใบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice: GAP) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด
ดังนั้น Escrow สามารถเข้ามามีบทบาทในการดูแลรักษาเงิน และตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ตรงตามที่คู่สัญญากำหนด โดยอาจมีการผลักดันผ่านโครงการนำร่อง (Escrow Pilot Project) กับการซื้อขายทุเรียน ซึ่งสามารถนำข้อมูลจากการดำเนินโครงการดังกล่าว มาใช้ประโยชน์กับสินค้าเกษตรอื่น ๆ ต่อไป รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาเสนอแนะนโยบายในด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการทำธุรกรรม Escrow ในอนาคต
(3) การมี Escrow Agent เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อเสริมความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมประเภทต่าง ๆ เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมแพร่หลายในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ ภาคธุรกิจจึงมีความรู้ความเข้าใจในกลไก Escrow เป็นอย่างดี โดยมีตัวอย่างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร อาทิ
ประเทศสิงคโปร์: บริษัท Ample Fintech และ StraitsX เป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ได้มีการนำกลไก Escrow ไปปรับใช้กับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นการยกระดับให้ระบบการซื้อขายสินค้าเกษตรมีความน่าเชื่อมากขึ้น โดยทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายเนื้อวัวข้ามพรมแดนระหว่างประเทศออสเตรเลียและฮ่องกง มูลค่ารวม 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการใช้เทคโนโลยี Purpose-Bound Money (PBM) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการชำระเงิน ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้เงินได้ล่วงหน้า เช่น การยืนยันการจัดส่งสินค้า การปล่อยเงินให้กับผู้ที่มีสิทธิได้รับโดยอัตโนมัติเมื่อดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เป็นต้น ทั้งนี้ ธุรกรรมดังกล่าวเป็นตัวอย่างสำคัญของการนำเทคโนโลยี Web3 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ และมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ประโยชน์ได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรและการค้าระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนและต้องการความโปร่งใสสูง
ประเทศสหรัฐอเมริกา: ในประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมาย Escrow ในระดับมลรัฐ (State Law) และมีการกำกับดูแลการทำธุรกรรม Escrow ที่แตกต่างกัน ซึ่งจากการศึกษา พบว่า มีการนำธุรกรรม Escrow ไปใช้ประโยชน์กับธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร สรุปได้ ดังนี้
1) ผลิตภัณฑ์นม: การซื้อขายผลิตภัณฑ์นมในมลรัฐเท็กซัส ได้กำหนดให้มีการทำธุรกรรม Escrow ไว้ในประมวลกฎหมายเกษตร (Texas Agriculture Code) โดยในหมวดที่ 6 บทที่ 181 ของกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้เกษตรกรผู้ผลิตน้ำนม (Dairy farmers) มีสิทธิ์ร้องขอให้ผู้แปรรูปน้ำนม (Milk processors) จัดตั้งบัญชี Escrow โดยเป็นบัญชีที่แยกต่างหากและมีการจ่ายดอกเบี้ย เพื่อเก็บรักษาเงินที่ได้รับจากการซื้อขายน้ำนมดิบจนกว่าจะได้รับชำระเงินครบถ้วน จึงสามารถปล่อยเงินจากบัญชี Escrow ได้ ทั้งนี้ เงินที่อยู่ในบัญชี Escrow ถือเป็นทรัพย์สินของเกษตรกรผู้ผลิตน้ำนม รวมถึงต้องเปิดกับสถาบันการเงินที่มีการประกันเงินฝากโดยรัฐบาลกลาง
2) การผลิตเอทานอลจากข้าวโพด: ในมลรัฐไอโอวา มีการทำธุรกรรม Escrow เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการผลิตเอทานอลจากข้าวโพด โดยบริษัท Amaizing Energy Holding Company ได้ระดมทุนผ่านการเสนอขายหน่วยลงทุน (Unit offering) เพื่อสนับสนุนการขยายโรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งนักลงทุนจะโอนเงินลงทุนไปยังบัญชี Escrow และเมื่อบริษัทสามารถบรรลุเงื่อนไขที่กำหนด ก็จะปล่อยเงินจากบัญชี Escrow ให้กับบริษัทเพื่อใช้ในการก่อสร้างและดำเนินโครงการผลิตเอทานอลต่อไป
3) การซื้อขายสินค้าเกษตรระหว่างประเทศ: แพลตฟอร์ม Eximcrop เป็นบริษัทเทคโนโลยีระหว่างประเทศและมีสำนักงานหลักในมลรัฐเดลาแวร์ ได้ให้บริการด้านการซื้อขายสินค้าเกษตรและอาหารระหว่างประเทศ (International Agricultural Trade) ในรูปแบบ Business-to-Business (B2B) ที่เชื่อมโยงกับผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าเกษตรทั่วโลก ได้ร่วมมือกับ Escrow.com ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการระบบการชำระเงินแบบเอสโครว์ออนไลน์ (Online escrow) เข้ามาทำหน้าที่ดูแลการชำระเงินที่ปลอดภัยสำหรับการซื้อขายผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมผ่านแพลตฟอร์มของตน
4) การซื้อขายที่ดินเพื่อการเกษตร: หน่วยงาน Conservation Law Foundation (CLF) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคนิวอิงแลนด์ (New England) ได้จัดตั้งโครงการ Legal Food Hub ซึ่งให้บริการด้านกฎหมายฟรีแก่เกษตรกร ผู้ประกอบการด้านอาหาร และองค์กรที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคนิวอิงแลนด์ โดยเฉพาะมลรัฐแมสซาชูเซตส์ เมน คอนเนตทิคัต โรดไอแลนด์ และเวอร์มอนต์ ได้มีการจัดทำคู่มือสำหรับเกษตรกรที่ต้องการซื้อที่ดินเกษตรกรรมในภูมิภาคนิวอิงแลนด์ ซึ่งเน้นที่การจัดทำสัญญาซื้อขาย การตรวจสอบสถานะที่ดิน (Due diligence) และกระบวนการปิดการขาย (Closing) ทั้งนี้ในส่วนของกระบวนการปิดการขายได้แนะนำให้ใช้บุคคลที่สาม เช่น บริษัทประกันกรรมสิทธิ์ (Title company) หรือบริษัทเอสโครว์ (Escrow company) เพื่อจัดการเงินมัดจำ (Earnest money) และเอกสารต่าง ๆ จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้
4.2 ประเด็นด้านความท้าทาย
(1) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดดั้งเดิมอาจปฏิเสธกลไก Escrow เนื่องจากการทำธุรกรรม Escrow จะขึ้นอยู่กับการตกลงกันของคู่สัญญา หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ต้องการให้มีคนกลางก็จะไม่สามารถทำธุรกรรมดังกล่าวได้ โดยอาจมองว่าเป็นการลดบทบาท หรือกระทบต่อผลกำไรของตนเองในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำความเข้าใจและลดข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้สามารถนำกลไก Escrow มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
(2) อัตราค่าธรรมเนียมอาจไม่ดึงดูดให้มีการทำธุรกรรม Escrow เนื่องจาก Escrow Agent จะมีการคิดค่าธรรมเนียม โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1) กรณีการดูแลผลประโยชน์ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จะเรียกเก็บค่าตอบแทนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.3 ต่อปีของมูลค่าสัญญาดูแลผลประโยชน์ และ 2) กรณีการดูแลผลประโยชน์ที่นอกจากข้อ 1) ให้เรียกเก็บตามอัตราที่ Escrow Agent และคู่สัญญาตกลงกัน ดังนั้น แม้ว่าการทำธุรกรรม Escrow กับสินค้าเกษตร คู่สัญญาจะสามารถต่อรองอัตราค่าธรรมเนียมกับ Escrow Agent ได้ แต่ความซับซ้อนจากการทำธุรกรรมอาจทำให้ Escrow Agent ปฏิเสธการให้บริการ หรืออาจคิดค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูง จนส่งผลให้เกษตรกรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องไม่ให้ความสนใจในการทำธุรกรรม Escrow ดังกล่าว
(3) การขาดความตระหนักถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง เนื่องจากที่ผ่านมารูปแบบในการซื้อขายสินค้าเกษตร จะอาศัยความเชื่อใจกันระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการที่มีความคุ้นเคยกันมาเป็นระยะเวลานาน จึงอาจทำให้ขาดความตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการประกอบอาชีพ สถานะทางการเงิน และการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเพื่อให้มีการนำกลไก Escrow และเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างคู่สัญญาให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม จึงต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำธุรกรรมดังกล่าว
5. ประโยชน์ของธุรกรรม Escrow ในภาพรวม
5.1 เกษตรกรและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถนำธุรกรรม Escrow ไปใช้ใประโยชน์ในการดูแลเงินมัดจำ หรือเงินสำหรับการสั่งซื้อล่วงหน้า (Pre-Order platform) สำหรับการซื้อขายสินค้าเกษตร ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่คู่ค้า (Trust) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเป็นกลไกที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมทั้งภาคธุรกิจในต่างประเทศมีความรู้และความเข้าใจในกลไก Escrow เป็นอย่างดี
5.2 การทำธุรกรรม Escrow จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยในการบริหารความเสี่ยงและลดข้อขัดแย้งจากการที่คู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
5.3 การมี Escrow Agent ช่วยให้เกิดความเสมอภาคระหว่างผู้ประกอบการรายเล็กกับประกอบการรายใหญ่ในเรื่องของความน่าเชื่อถือที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ และเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ขายที่มีเจตนาไม่สุจริตเข้ามาอยู่ในระบบ ซึ่งจะเหลือแต่ผู้ขายที่ดีและมีการแข่งขันอย่างยุติธรรม อันจะเป็นการวางรากฐานให้ธุรกิจมีมาตรฐานในระยะยาว
5.4 จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การทำธุรกรรมของประชาชนและภาคธุรกิจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะธุรกรรมมูลค่าสูงที่มีผลต่อฐานะการเงินขององค์กร ดังนั้น ประชาชนและภาคธุรกิจจึงสามารถพิจารณาให้ Escrow Agent ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและบริหารความเสี่ยงในการดำเนินธุรกรรมประเภทต่าง ๆ ได้
6. บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การทำธุรกรรม Escrow จะช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจ มีเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่นและบริหารความเสี่ยงจากการที่คู่สัญญาไม่ปฏิบัติตามที่ได้มีการตกลงกันไว้ โดยสามารถดูแลรักษาเงิน ทรัพย์สินหรือเอกสารเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ตามความต้องการของคู่สัญญา ดังนั้น เพื่อให้มีการนำกลไก Escrow มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน ภาคธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศไทย จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
6.1 การส่งเสริมโดยผลักดันให้ Escrow อยู่ในระบบ E-Payment อีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้กับธุรกรรมการค้าข้ามแดน (Cross border) ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมมากยิ่งขึ้น เช่น การนำไปใช้กับสินค้าเกษตรที่มีลักษณะเฉพาะและมีศักยภาพในการแข่งขันสูง หรือผลิตภัณฑ์ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ผลิตในประเทศไทยในรูปแบบของสินค้า OTOP เป็นต้น
6.2 ในระยะแรกการของนำกลไก Escrow เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อขายสินค้าเกษตร ควรยึดวิธีปฏิบัติที่เกษตรกรดำเนินการอยู่แล้วและมีขั้นตอนเหมือนเดิมควบคู่กันไป เพื่อให้เกษตรกรมีระยะเวลาในการปรับตัวและเกิดความเคยชิน จนสามารถนำกลไก Escrow ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ในกรณีที่คู่สัญญาไม่สามารถใช้กลไก Escrow กับการซื้อขายสินค้าเกษตรได้สำเร็จ ก็สามารถเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ควบคู่กันไป เช่น ธุรกรรมการรับฝากเงินที่มีเงื่อนไขการเบิกถอนเงินจากบัญชีตามคำสั่งลูกค้า (Escrow Account) ภายใต้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย หรือการใช้ตราสารเครดิต (Letter of Credit : L/C) ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการชำระเงินที่ธนาคารออกให้เพื่อรับประกันการชำระเงินให้กับผู้ขาย เมื่อผู้ขายปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแล้ว เป็นต้น
6.3 การซื้อขายสินค้าเกษตรหรือธุรกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องผ่านกลไก Escrow อาจต้องมีหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนเข้ามาทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับชาวสวน/เกษตรกรได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีกลไก Escrow ผ่านแนวคิดของการซื้อขายสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย รวมถึงสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการค้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
6.4 ดำเนินการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนและลดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน สามารถครอบคลุมถึงวิธีปฏิบัติที่เป็นลักษณะเฉพาะของการซื้อขายสินค้าเกษตร และสามารถนำเทคโนโลยีทางการเงินที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ได้
6.5 ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) หน่วยงานภาครัฐ (2) Escrow Agent (3) ผู้ประกอบการ E – marketplace platform (4) ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือวิสาหกิจชุมชน (5) กลุ่มเกษตรกร และ (6) ผู้ประกอบการส่งออก เพื่อพัฒนารูปแบบของกลไก Escrow ที่เหมาะสมกับภาคการเกษตรในประเทศไทย
บรรณานุกรม
กฎหมาย/เอกสารที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ประกาศคณะกรรมการกากับการประกอบกิจการดูแลผลประโยชน์ เรื่อง ค่าตอบแทนและค่าบริการในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ พ.ศ. 2556 (ฉบับประมวล).
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง. (2565). การประเมินผลสัมฤทธิ์พระราชบัญญัติการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม.
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร. (2565). แผนปฏิบัติการด้านการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2566 – 2570.
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม. (2562). หลักการและรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืน. เอกสารเผยแพร่ฉบับที่ 596.
กรมวิชาการเกษตร. (2560). การจดทะเบียนผู้ส่งออก และกฎ ระเบียบ และเงื่อนไขการส่งออกสินค้าเกษตรออกนอกราชอาณาจักร.
เว็บไซต์
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า. (2568). พาณิชย์เผยสถิติที่สุดแห่งปี การส่งออกสินค้าเกษตรไทย ปี 67. สืบค้นเมื่อ 9 เมษายน 2568, จาก https://tpso.go.th/news/2502-0000000023
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า. (2568). พาณิชย์เผยผลไม้ไทยขึ้นแท่นสินค้าเกษตรส่งออกสูงสุด.
สืบค้นเมื่อ 9 พฤษภาคม 2568, จาก https://tpso.go.th/news/2503-0000000006
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย. (2567). ปรับกลยุทธ์พลิกเกม “ล้งผลไม้ไทย” โดดเด่นท้าทายเวทีโลก
สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568, จาก https://tdri.or.th/2024/09/supply-chain-fruit-business- strategy/
Ample Fintech. (2567). Ample Fintech and StraitsX Successfully Execute Escrow Payment via Purpose-Bound Money in USD 100,000 Cross-Border Trade. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568, จาก https://amplefintech.com/ample-fintech-and-straitsx-successfully-execute- escrow-payment-via-purpose-bound-money-in-usd-100000-cross-border-trade/
Conservation Law Foundation. (2563). Land ownership Buying the Farm – Part II. สืบค้นเมื่อ10 เมษายน 2568, จาก https://www.legalfoodhub.org/resource/buying-the-farm-part-ii/
Justia Business Contracts. (2551). Amaizing Energy Holding Company, LLC Contracts & Agreements. สืบค้นเมื่อ 11 เมษายน 2568, จาก https://contracts.justia.com/companies/amaizing-energyholding-company-llc-53417/
The Food and Fertilizer Technology Center. (2562). E-commerce of Agriculture Products in Thailand. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2568, จาก https://ap.fftc.org.tw/article/1411
Texas Constitution and Statutes. (2566). AGRICULTURE CODE. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568,
จาก https://statutes.capitol.texas.gov/Docs/AG/htm/AG.181.htm#181.003
Trade agricultural crops, food, beverages, and more with the safety of Escrow.com. (n.d.). Escrow.com. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2568, จาก https://www.escrow.com/fr/partners/landing/eximcrop

