บทความโดย นายภัทร ภัทรประสิทธิ์
เรียบเรียงโดยทีมบรรณาธิการ
ภาพประกอบโดย นายภัทร ภัทรประสิทธิ์
ผลจากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมหรือ Thailand 4.0 ประกอบกับภาครัฐได้มีแนวนโยบาย Government 4.0 เพื่อเป็นการยกระดับและพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการของภาครัฐ ให้ ดีขึ้นเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการจากภาครัฐได้อย่างรวดเร็ว ง่าย และมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง ยังเป็นการสนับสนุนอันดับความง่ายในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) ที่จัดอันดับโดยธนาคารโลก ซึ่ง
ประเทศไทยได้รับ การปรับอันดับจาก อันดับที่ 27 จาก 190 ประเทศ เมื่อปี 2561 ล่าสุดได้รับการปรับเป็นลำดับที่ 21 ในปี 2562
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain-700x700.jpg)
สำหรับกรมสรรพสามิตในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่บริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตระหนักถึง การนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาล โดยได้นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี “Blockchain” มาใช้เพื่อพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการ ยกระดับการให้บริการด้านภาษี
บนดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยนำร่องแล้ว 3 บริการ คือ
- การคืนภาษีการส่งออกน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม (Tax Refund Blockchain)
- การวางหลักทรัพย์ค้ำประกันค่าภาษีสรรพสามิต (e-Bank Guarantee) และ
- การชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีการจำหน่าย สุรา ยาสูบ และไพ่ (License Renewal) ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย และลดขั้นตอนการดำเนินงานให้ผู้ประกอบการ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบเอกสารต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตยังร่วมกับธนาคารกรุงไทยยกระดับการให้บริการภาครัฐด้านภาษี โดยนำเทคโนโลยี Blockchain มาช่วยบริหารจัดการด้านการคืนภาษีการส่งออกสินค้า (Tax Refund Blockchain) ซึ่งนำร่องด้วยการส่งออกสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain2-635x320.png)
เหตุผลสำคัญที่กรมสรรพสามิตได้เลือกและนำ Blockchain มาใช้ในการบริหารการจัดเก็บข้อมูลและ การคืนภาษีส่งออกน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียม เนื่องจากเทคโนโลยี Blockchain มีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อมูล มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบความถูกต้องจากแหล่งที่มาตั้งแต่สินค้าน้ำมันออกจากโรงอุตสาหกรรมไปยังคลังเก็บสินค้า จนถึงกระบวนการส่งออกไปยังประเทศปลายทาง ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดสามารถตรวจสอบสถานะได้ ตั้งแต่การยื่นขอคืนภาษีจนกระทั่งได้รับภาษีคืน ช่วยลดขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารที่ซ้ำซ้อนและสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ทันที
รวมทั้งช่วยให้กระบวนการในการคืนภาษีรวดเร็วขึ้น จากปกติถึง 3 เท่า และยังเป็นการลดการรั่วไหลของการจัดเก็บภาษีน้ำมันเพื่อการส่งออกได้เป็นอย่างดี
1. ทำไม Blockchain จึงเข้ามีมาบทบาท ?
Blockchain เป็นเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการมี Bitcoin หรือ Cryptocurrency หรือเงินสกุลดิจิทัล หรือเป็นเทคโนโลยีที่เป็นเบื้องหลังของ Bitcoin โดย
Blockchain ประกอบขึ้นจากคำ 2 คำ ได้แก่ “Block” และ “Chain” ถ้าแปลตรงตัว คำว่า “Block” แปลว่า ก้อนหรือกล่อง และ “Chain” แปลว่า โซ่หรือเครือข่าย ซึ่ง Blockchain นั้นเป็นรูปแบบการเก็บข้อมูลแบบหนึ่งที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยสูงซึ่งเป็นการทำให้ข้อมูลธุรกรรมของแต่ละคน/หน่วยงาน/ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถแชร์ไปยังทุกๆ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่ายได้ หรือเป็น การเชื่อมโยง Block ข้อมูลผ่านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ด้วยความเชื่ออย่างแพร่หลายจนกลายเป็นทฤษฎีที่ว่าการทำธุรกรรมผ่าน Blockchain นั้น มีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยข้อมูลจะถูกจัดเก็บใน Server หรือ แม่ข่ายโดยไม่ต้องอาศัยคนกลาง ซึ่งแตกต่างจากการทำธุรกรรมในอดีตที่จะมีการเก็บข้อมูลกับแม่ข่ายที่ “เชื่อถือว่าปลอดภัย” นอกจากนี้ ภายใต้ระบบ Blockchain ข้อมูลหรือการทำธุรกรรมจะถูกแปลงเป็นกล่องข้อมูลที่ถูกตั้งรหัส หรือเรียกว่า “hash” และถูกส่งไปยังลูกข่ายหลายแห่งและลูกข่ายจะทำการอนุมัติ
โดยข้อมูลจะถูกจัดเก็บหรือบันทึกในรูปแบบก้อนที่เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ ซึ่งถือว่าสิ้นสุดการทำธุรกรรม และเมื่อกล่องของข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ใน Blockchain แล้ว การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยใครคนหนึ่งจะเป็นเรื่องยากมาก และหากต้องการจะเพิ่มข้อมูลทุกๆ หน่วยลูกข่ายในเครือข่ายซึ่งมีสำเนาของ Blockchain สามารถรัน Algorithm (กระบวนการแก้ปัญหาโดยเรียงลำดับวิธีการอย่างเป็นขั้นตอนอย่างชัดเจน) เพื่อตรวจสอบธุรกรรมโดยธุรกรรมที่จะถูกแก้ไขจะได้รับอนุญาตก็ต่อเมื่อในเครือข่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยว่ามันถูกต้อง
2. การประยุกต์ใช้ Blockchain แพร่หลายในอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมต่างๆ อย่างกว้างขวาง
ปัจจุบันมีการใช้งานระบบ Blockchain อย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น การยืนยันตัวตนที่แท้จริง ในการเก็บโฉนดที่ดินเพื่อให้เกิดความโปร่งใส รวมถึงการตรวจสอบสถานะบุคคล เช่น ข้อมูลบัตรประชาชน (Digital Identity) เป็นต้น นอกจากนี้ Blockchain ยังนำมาประยุกต์ใช้ร่วมในการ Authentication หรือการยืนยันตัวตนแทนการใช้รหัสผ่าน (Password) ได้อีกด้วย เช่น ในกรณีที่จะติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ต้องล็อคอินผ่านคนกลางที่มีความน่าเชื่อถืออย่าง Facebook หรือ Gmail เพียงใช้แอปพลิเคชันในการทำหน้าที่เชื่อมโยงเข้ากับ Blockchain ในการตรวจสอบความมีตัวตนได้ทันทีและที่สำคัญยังมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นด้วย เช่น
2.1 อุตสาหกรรมด้านการเงินและการธนาคาร:
เป็นอุตสาหกรรมแรกที่ใช้เทคโนโลยี Blockchain หรือที่เรียกว่า FinTech โดยนำมาช่วยลดขั้นตอนในการดำเนินธุรกรรมทางการเงิน ทำให้ธุรกรรมการเงินสามารถสำเร็จ ได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยในเรื่องของความแม่นยำและความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงป้องกันการแอบอ้างการใช้ข้อมูล และการฉ้อโกงออนไลน์
2.2 อุตสาหกรรมยานยนต์:
การนำมาพัฒนาปรับใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ โดยการเก็บข้อมูลที่ได้จากผู้ผลิตรถยนต์และผู้ใช้งานรถยนต์กว่าพันล้านข้อมูลและนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีไร้คนขับให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.3 กิจกรรมด้านการรับบริจาคและการระดมทุน:
สิ่งที่มักเกิดขึ้นเมื่อเราทำการบริจาคเงิน คือ เราไม่ทราบว่าเงินที่เราบริจาคไปนั้นถึงมือผู้รับจริงหรือไม่ เทคโนโลยี Blockchain จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ โดยข้อมูลการบริจาคเงินตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางจะได้รับการเปิดเผยอย่างโปร่งใส ผู้บริจาคสามารถติดตามและตรวจสอบได้ว่าเงินที่ตนบริจาคไปนั้นถึงมือผู้รับจริงหรือไม่ ช่วยลดการฉ้อโกงจากมิจฉาชีพได้ นอกจากนี้เทคโนโลยี Blockchain ยังช่วยให้ขั้นตอนการเก็บเงินบริจาคสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น และช่วยมูลนิธิในการลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ
2.4 อุตสาหกรรมสื่อ: กรณีตัวอย่างคือ muse Blockchain ซึ่งเป็นการลดการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการใช้ Blockchain สร้าง streaming platform ชื่อว่า PeerTracks ที่ผู้ฟังสามารถจ่ายเงินโดยตรงไปยังศิลปิน ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องลิขสิทธิ์แล้ว ยังทำให้ศิลปินได้รับผลตอบแทนโดยตรงและมีค่าตอบแทนที่สูงขึ้น โดยการตัดคนกลางออกไป
2.5 อุตสาหกรรมด้านการแพทย์:
การประยุกต์ใช้ Blockchain ในวงการสาธารณสุขมีหลากหลาย โดยจะเห็นว่ามีสตาร์ทอัพหลายรายนำ Blockchain มาใช้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของอุตสาหกรรมยาและการแพทย์ ทำให้ ผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
2.6 อุตสาหกรรมประกันภัย:
Blockchain จะเข้ามาช่วยเพิ่มความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริต ในวงการประกันภัย ซึ่งข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ใน “Decentralized Cloud Platform” ทำให้ผู้เกี่ยวข้องในฝ่ายต่างๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างเปิดเผย
นอกจากนี้ สหภาพยุโรปได้ดำเนินการทดลองใช้ระบบ Blockchain กับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรรพสามิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษีผ่านการควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตที่ได้รับการยกเว้นภาษีระหว่างประเทศคู่ค้า
ระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิต (Excise Movement and Control System)
เนื่องจากภายใต้กฎหมายของสหภาพยุโรปนั้น ภาษีสรรพสามิต (จัดเก็บจากสินค้าบางชนิด ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน) จะมีจุดความรับผิด (หรือจุดที่มีการชำระภาษีสรรพสามิต)
ณ จุดสุดท้ายก่อนการบริโภค กล่าวคือภาษีสรรพสามิตในประเทศคู่ค้าต้นทาง (ประเทศผู้ผลิต/ส่งออกสินค้า) ยังไม่ถูกจัดเก็บ แต่ประเทศคู่ค้าปลายทางจะเป็นผู้ชำระภาษี กล่าวคือ
ระหว่างต้นทางถึงปลายทางของการขนส่งสินค้าสินค้าสรรพสามิตจะยังไม่ถูกจัดเก็บภาษีจนกระทั่งไปถึงจุดสุดท้าย ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะมีการหลีกเลี่ยงภาษี ด้วยเหตุดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมีระบบควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิต (Excise Movement and Control System: EMCS) หรือ ระบบสนับสนุนที่ช่วยให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปสามารถตรวจสอบและกำกับการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าดังกล่าวได้ถูกชำระภาษีอย่างถูกต้องนั่นเอง
ลำดับเหตุการณ์ (Timeline) ของการบังคับใช้ EMCS ในสหภาพยุโรป
- มกราคม 2536 สหภาพยุโรปได้กำหนดให้สินค้าที่ผลิตภายในสหภาพยุโรปสามารถถูกเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีภายในหรือระหว่างประเทศสมาชิกหรือเรียกได้ว่าเป็นตลาดเดียว ดังนั้น ประเทศสมาชิกจึงต้องการระบบที่จะควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตที่ยังไม่ถูกชำระภาษีหรือที่ได้รับยกเว้นภาษีขณะอยู่ที่ประเทศคู่ค้าต้นทางเพื่อที่จะกำกับและป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย รวมถึงการกำกับดูแลการชำระภาษี ณ ปลายทาง ในขณะนั้น มีเพียงผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต (Authorized Economic Operators: AEO) ได้รับการอนุญาตให้กำกับดูแลการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตที่ยังไม่ได้ชำระภาษีภายใต้ EU Directive 92/12/EEC ซึ่งสินค้าจะมีใบขนกำกับเมื่อมีการเคลื่อนย้ายสินค้าที่เรียกว่า Administrative Accompanying Document (AAD) เพื่อที่จะเป็นสิ่งยืนยันว่าสินค้าดังกล่าวยังไม่ได้ชำระภาษี
- พฤษภาคม 2541 เริ่มมีการพบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายสำหรับสินค้าที่ the EU Council of Economic and Finance Ministers (ECOFIN) ได้รับหลักการจากรายงานของคณะทำงานระดับสูง ที่มีข้อเสนอแนะให้มี การเชื่อมโยงข้อมูลการค้าของคู่ค้าต่อคู่ค้า (Trader-to-Trader) ระหว่างประเทศสมาชิก หรือ EMCS
- ช่วงปี 2542-2543 ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้จากคณะกรรมาธิการที่จะนำระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทนเอกสาร AAD ที่เป็นกระดาษ ต่อมาในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 สภายุโรปและคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้ออก Decision No 1152/2003/EC ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบด้านกฎหมายเพื่อพัฒนาระบบ EMCS ซึ่งเป็นการยุติการใช้ EU Directive 92/12/EEC
- พฤษภาคม 2548 คณะกรรมาธิการเห็นชอบในการตีพิมพ์คู่มือการทำงานภายใต้ระบบ EMCS หรือที่เรียกว่า Functional Excise System Specification (FESS) ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินการสำหรับภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ EMCS และอีกประมาณ 4 ปีต่อมา เมื่อเดือนมกราคม 2552 EU Directive 2008/118/EC ได้ถูกประกาศใช้ และเป็นนิมิตหมายใหม่ที่ทำให้การบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตภายใต้ EMCS ถูกบังคับใช้โดยมีกฎหมายรองรับ
- เมษายน 2553 EMCS เริ่มถูกใช้งาน โดยประเทศสมาชิกทุกประเทศสามารถออกเอกสารกำกับการขนย้าย AAD ในรูปแบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือเรียกว่า Electronic Administrative Accompanying Document(e-AD) ได้ และเมื่อเดือนมกราคม 2554 เป็นการใช้ระบบ EMCS แบบไม่ใช้กระดาษ (Paperless) ทั้งระบบโดยสินค้าสรรพสามิตทุกประเภทที่ถูกเคลื่อนย้ายโดยที่ยังไม่ได้ชำระภาษีจำเป็นต้องลงทะเบียนในระบบที่มี e-AD กำกับ และเดือนมกราคม 2555 ระบบ EMCS ได้ถูกพัฒนาจนสำเร็จและถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ขั้นตอนการส่งข้อมูลผ่านระบบ EMCS (ดังภาพที่ 2) ดังนี้
5.1 ผู้ส่งสินค้ายื่นร่าง e-AD ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้าและแผนการเคลื่อนย้ายภายในสหภาพยุโรป
5.2 ประเทศคู่ค้าต้นทางทำการยืนยันตรวจสอบ (Validate) และรับรอง e-AD และส่ง e-AD กลับไปยังผู้ส่งสินค้า
5.3 ผู้ส่งสินค้าปล่อยสินค้าสรรพสามิต (Dispatch) และหน่วยงานทะเบียนกลาง (European register of operators) ซึ่งดูแลระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลสรรพสามิต (System of Excise Data: SEED) และเป็นศูนย์กลางหลักเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบก่อนการอนุญาตให้เคลื่อนย้าย ทั้งนี้ คู่ค้าสามารถสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ผ่านช่องทาง online
5.4 ประเทศคู่ค้าต้นทางส่งข้อมูล e-AD ไปยังประเทศสมาชิกปลายทาง
5.5 ประเทศคู่ค้าปลายทางส่งต่อข้อมูลต่อไปยังผู้รับสินค้า
5.6 การส่งสินค้าดำเนินการเสร็จสิ้นโดยสินค้าถึงผู้รับสินค้า
5.7 ผู้รับสินค้าส่งรายงานการรับสินค้า (Report of receipt) กลับมายังประเทศคู่ค้าปลายทาง
5.8 ประเทศคู่ค้าปลายทางยืนยันรายงานการรับสินค้าและส่งข้อมูลกลับไปยังผู้รับสินค้า
5.9 ประเทศคู่ค้าปลายทางส่งรายงานการรับสินค้าไปยังประเทศคู่ค้าต้นทาง
5.10 ประเทศคู่ค้าต้นทางส่งรายงานการรับสินค้าไปยังผู้ส่งสินค้า
ทั้งนี้ หากพบว่าเกิดสิ่งผิดปกติ การรายงานจะต้องระบุถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วย เช่น สินค้าที่ขาดหายหรือสินค้าเกินกว่าที่กำหนด และรายงานที่ออกโดยผู้รับสินค้าจะถูกส่งไปยังผู้ส่งซึ่งสามารถสั่งห้ามการเคลื่อนย้ายหรือ
การชำระเงินมัดจำสำหรับสินค้าสรรพสามิต
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain3-1-761x266.png)
การนำ Blockchain มาประยุกต์ใช้กับ EMCS
ปี 2560 กรมภาษีและศุลกากรของสหภาพยุโรป (European Commission’s department for Taxation and Customs Union) ตัดสินใจนำเทคโนโลยี Blockchain และระบบบันทึกรายการธุรกรรมดิจิทัลบนคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน (Distributed Ledger Technology: DLT) มาใช้ กับระบบ EMCS หรือที่เรียกว่า Proof of Concept (POC) เนื่องจากมีคู่ค้าจำนวนน้อยสำหรับสินค้าสรรพสามิตและเป็นระบบที่มีรูปแบบเดียวกันและใช้กันทั่วยุโรปซึ่งหากมีความเป็นไปได้แล้ว จะสามารถขยายผลไปยังสาขาอื่นๆ เช่น ระบบ New Computerized Transit System (NCTS) ของศุลกากร และเนื่องจากการดำเนินธุรกิจค่อนข้างซับซ้อนจึงควรจะเริ่มทดสอบในวงแคบและพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายผลต่อไป นอกจากนี้ ยังเล็งเห็นผลต่อความร่วมมือในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนซึ่ง Blockchain จะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งระบบ อีกทั้ง วัตถุประสงค์ของการพัฒนาระบบเป็นการเรียนรู้ในการนำนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในเชิงธุรกิจเพื่อใช้กับระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
การพัฒนาระบบ Blockchain กับ EMCS ใช้ Hyperledger ที่เป็น Open source ด้าน Blockchain ที่ดูแลโดย Linux foundation ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลองใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ แต่ละประเทศสมาชิกจะมีระบบแม่ข่ายเสมือน (Virtual Server) 4 แบบ ได้แก่ 1) Peer Server 2) Certificate Authority Server 3) Database Server และ 4) Smart Contract Server เพื่อเป็นการแบ่งประเภทในการจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ ยังมี Orderer Serverที่เป็นแม่ข่ายกลางในการส่งข้อมูลต่างๆ ไปยังลูกข่ายในแต่ละประเทศสมาชิก (ดังภาพที่ 3)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain-4.png)
ทั้งนี้ เครือข่าย Blockchain สำหรับระบบ EMCS จะมีลูกข่ายของผู้รับจ้างขนย้ายสินค้าทั้งผู้ส่ง (Consigner) และผู้รับ (Consignee) (ดังภาพที่ 4)
เมื่อผู้ส่งต้องการส่งสินค้าสรรพสามิตจากประเทศต้นทางไปยังประเทศคู่ค้าหรือประเทศปลายทาง ผู้ส่งจะส่งข้อมูลต่างๆ หรือเรียกว่าร่างเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Draft-eAD) ผ่านระบบไปยังหน่วยงานที่กำกับดูแลระบบ เพื่อดำเนินการอนุมัติ เมื่อ e-AD ได้รับการอนุมัติแล้วระบบจะส่งข้อมูลไปยัง Orderer Server เพื่อส่งต่อข้อมูลไปยัง
แม่ค่ายของประเทศคู่ค้าและประเทศที่ 3 เพื่อจัดเก็บใน Blockchain ด้วยรหัสกำกับการขนส่ง (Administrative Reference Code: ARC) (ดังภาพที่ 5)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain-5.png)
ในขณะเดียวกันสินค้าจะถูกส่งไปยังประเทศคู่ค้า (ดังภาพที่ 6)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchian-6.png)
เมื่อผู้รับได้รับสินค้า ผู้รับจะทำการตรวจความถูกต้องของสินค้าและข้อมูลผ่านระบบโดยทำการส่งรายงานการรับสินค้า (Report of Receipt) เพื่อแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในประเทศคู่ค้า ซึ่งแม่ข่ายในประเทศคู่ค้าจะส่งข้อมูลไปยัง Orderer Server เพื่อตรวจสอบข้อมูลไปยัง Server ของประเทศผู้ส่งและประเทศที่ 3 เพื่อยืนยัน และสอบทานความถูกต้องของข้อมูลการส่งสินค้าในระบบ (ดังภาพที่ 7)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/blockchain-7.png)
เมื่อตรวจสอบว่าข้อมูลในแม่ข่ายของทั้ง 3 แห่งตรงกันจะถือว่าธุรกรรมนั้นเสร็จสิ้น (ดังภาพที่ 8)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/Block-Chain-81.png)
มาตรการความปลอดภัยในการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับระบบ Blockchain ถึงแม้ว่าระบบจะให้มีประเทศที่ 3 เพื่อเป็นผู้สอบทานข้อมูลธุรกรรมต่าง ๆ แต่ระบบจะทำการจำกัดการเข้าถึงหากมีการเข้าสู่ระบบเพื่อดูข้อมูลการขนส่งสินค้าจากประเทศที่ 3 (ดังภาพที่ 8)
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/Block-chain-82.png)
อย่างไรก็ตาม การทดลองใช้ระบบดังกล่าวยังมีข้อจำกัดหรือสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้พัฒนาระบบ คือ การเก็บข้อมูลที่เป็นความลับซึ่งอาจจะดำเนินการเข้ารหัสสำหรับข้อมูลของแต่ละผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง การใช้เครือข่าย Blockchain กับทั้งระบบภาษีสรรพสามิตของสมาชิกในสหภาพยุโรปจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากประเทศสมาชิกและอาจจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการปรับปรุงและแก้ไขเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและการพิจารณาสมรรถนะของระบบในด้านความปลอดภัยและความรวดเร็วในการส่งผ่านข้อมูลต่างๆ
บทสรุป
แม้ว่าการดำเนินการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงระบบจากระบบเอกสารแบบกระดาษเป็นระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ของสหภาพยุโรปใช้ระยะเวลายาวนานในการพัฒนา และการประยุกต์ใช้ Blockchain ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพัฒนา แต่ทว่าองค์ความรู้ของผู้พัฒนาระบบ Blockchain ในปัจจุบันค่อนข้างมีความพร้อม จึงมี ความเป็นไปได้ที่การพัฒนาและบังคับใช้ระบบ EMCS + Blockchain
ในประเทศไทยอาจสามารถดำเนินการระยะเวลาอันสั้นกว่าในอดีต ทั้งนี้ ยังอาจขยายผลไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนด้านความร่วมมือในการควบคุมการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน และหากสามารถนำระบบ Blockchain มาประยุกต์ใช้กับ ด้านการบริหารการจัดเก็บภาษีทั้งการรับชำระภาษี การคืนเงินภาษี รวมถึงการควบคุมการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีของประเทศไทย และเป็นการสนับสนุนนโยบาย Thailand 4.0 และยกระดับความง่ายในการทำธุรกิจในประเทศ (Ease of Doing Business) อีกด้วย
![](http://www.fpojournal.com/wp-content/uploads/2020/07/patara_sq-230x230.jpg)
ภัทร ภัทรประสิทธิ์
กรมสรรพสามิต
อ้างอิง
- https://www.excise.go.th/excise2017/NEWS/MGT_NEWS/Detail/14-11-62กรมสรรพสามิตแถลงข่าวเรื่อง “กรมสรรพสามิต ยกระดับมาตรฐาน จ่าย-คืนภาษีง่ายผ่านดิจิทัล”/index.htm
- https://www.dbd.go.th/ewt_news.php?nid=469416255&filename=index
- https://siambc.com/what-is-blockchain/
- https://www.peerpower.co.th/blog/investor1/ฟินเทค/six-industries-apply-blockchain-technology-2018
- https://techsauce.co/tech-and-biz/understand-blockchain-in-5-minutes
- https://ec.europa.eu/taxation_customs/business/excise-duties-alcohol-tobacco-energy/excise-movement-control-system_en
- https://ec.europa.eu/taxation_customs/sites/taxation/files/emcs_history_en.pdf
- Image by xresch from Pixabay