ฟ้าใส ทะเลสวย ที่โอกินาว่า

ฟ้าใส ทะเลสวย ที่โอกินาว่า

ดร.พิมพ์นารา  หิรัญกสิ

… อยู่ในปาร์ตี้ ร้อนยังกับ Fire…”

เสียงเพลง “Fire” ของบุดด้าเบลสดังแว่วมาแต่ไกล ปกติเราไม่เคยฟังเพลงแล้ว ‘อิน’ ขนาดนี้มาก่อนแต่การฟังเพลงที่เกี่ยวกับความร้อน ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว กลางฤดูร้อนของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนนี่ช่างเข้ากับบรรยากาศซะจริงๆ

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าวมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนจะเสียสติ ถึงแม้แสงแดดที่สาดส่องอย่างสดใสลงมาทุกหย่อมหญ้าจะชวนให้นึกถึงหาดทรายและสายลมที่ชายทะเล แต่ด้วยความร้อนระดับ 10-10-10 เช่นนี้ ทำให้เราลังเลไม่กล้าตัดสินใจไปทะเลเพราะกลัวไอร้อนที่มาพร้อมกับความเค็มของไอทะเลจะทำให้รู้สึกร้อนหนึบเหนียวตัวเข้าไปใหญ่

“มีทะเลสวยๆ ที่ไหนที่อากาศเย็นๆ เดินทางไม่ไกลบ้างนะ”

เราคิดพลางเข้าไปดูในหน้าข่าวของเครือข่ายสังคมที่ฮอตฮิตที่สุด พลางเห็นโฆษณาสายการบินโลว์คอสต์ที่ชื่อเหมือนผลไม้ที่เพิ่งเปิดเส้นทางใหม่เมื่อปีที่แล้ว บินตรงระหว่างกรุงเทพฯ และเมืองนาฮาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ของหมู่เกาะโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น เราจึงไม่รีรอรีบหาข้อมูลทันที

ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นมาหลังจากเราพิมพ์คำว่า “Okinawa” ลงไปในกูเกิ้ล คือภาพของหาดทรายสีขาวกับน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียว ตัดกับสีของท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้าสดใส สิ่งที่เราทำต่อมาก็คือตรวจสอบสภาพอากาศ ณ ตอนนั้นซึ่งเป็นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเซลเซียส

“นี่แหละ ที่เราต้องการ” เราคิดในใจ

==============

“ไปญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ? แล้วนี่จะไปโอกินาว่าทำไม… ไปเที่ยวหลีเป๊ะไม่ดีกว่าเหรอ?”

ประโยคคำถามที่เจือปนด้วยการทักท้วงผสมความห่วงใยลงไปบางๆ ข้างต้น ออกมาจากปากคู่สนทนาทันทีที่รู้ว่าเราตัดสินใจจะไปเที่ยวโอกินาว่าช่วงสงกรานต์ ช่วงที่ราคาตั๋วเครื่องบินแพงหฤโหด ไหนจะต้องสัมผัสความแออัดของสนามบิน ทั้งจากนักท่องเที่ยวไทยที่บินออก บวกกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่บินเข้ามาสัมผัสเทศกาลปีใหม่ไทย ทำให้ทุกตารางนิ้วต่างคราคล่ำไปด้วยผู้คน

จริงๆ แล้ว ถึงแม้โอกินาว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น แต่ก็แทบจะเป็น “ต่างประเทศ” สำหรับคนญี่ปุ่น เพราะเกาะเล็กเกาะน้อยที่เราเรียกรวมๆ ว่าโอกินาว่า ที่กระจายตัวเป็นแนวยาวทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะหลักทั้ง 4 เกาะของญี่ปุ่นนั้น แท้จริงแล้วคือหมู่เกาะริวกิว ซึ่งในอดีตเคยเป็นราชอาณาจักรริวกิว (琉球) หรืออ่านแบบภาษาจีนได้ว่าลิ่วฉิว เป็นอาณาจักรเอกราชเล็กๆ ที่ทำมาค้าขายกับอาณาจักรแถบนี้มาตั้งแต่ยุคกลาง ไม่ว่า
จะเป็นจีน ญี่ปุ่น รวมถึงส่งเรือสำเภามายังอโยธยาอีกด้วย

เราจมจ่อมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นานจนคู่สนทนาคงจะรู้สึกได้ เพื่อทำลายความเงียบที่เริ่มจะสร้างความอึดอัด เราจึงตอบไปเพียงสั้นๆ ว่า

“เบื่ออากาศร้อนน่ะ”

====================

นับตั้งแต่นาทีที่เราเดินขึ้นเครื่องบิน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ จนถึงเวลาที่เราเดินออกจากเครื่องที่ณ ท่าอากาศยานนาฮา ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองนาฮา เมืองใหญ่ของเกาะโอกินาว่า แม้จะเป็นเพียงเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงแต่ก็ผ่านไปเหมือนฝัน ไม่ใช่สิ… อันที่จริงต้องบอกว่าผ่านไปเพราะความฝันมากกว่า เพราะเป็นเที่ยวบินข้ามคืนที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่เลือกพักผ่อนเอาแรง ทำให้การเดินทางราบรื่นสบายดี แม้จะเป็นสายการบินโลว์คอสต์แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไร แม้ว่าก่อนเดินทางเราจะจิตตกไปกับความกลัว… กลัวว่าสายการบินจะยกเลิกเที่ยวบินของเรา ดังที่เคยเป็นข่าวกระหึ่มเว็บบอร์ดชื่อดัง

ทันทีที่ประตูอาคารผู้โดยสารสายการบินโลว์คอสต์ (LCC Terminal) เปิดออก ลมเย็นๆ อุณหภูมิประมาณ 20 องศาเซลเซียสที่เจือละอองฝนก็ปะทะหน้าอย่างจัง เราแอบยิ้มมุมปากนิดนึง อา… อากาศเย็นๆ แบบนี้ นี่สินะที่เรารอคอย เราเข้าแถวยืนรอรถเพียงชั่วครู่ก็ได้ลากกระเป๋าขึ้นรถบัสรับส่ง ยืนโหนรถเพียงไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึงตัวอาคารหลักที่มีพร้อมทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านเช่าพอกเก็ตไวไฟ (ต้องจองมาล่วงหน้า) เคาเตอร์บริษัทเช่ารถต่างๆ และที่สำคัญคือเป็นที่ตั้งของสถานีปลายทางของรถรางลอยฟ้า (Monorail) สายเดียวของเมืองนาฮาด้วย

จากสนามบินนาฮา หากนั่งรถรางมาสุดสายแล้วเดินต่ออีกซักหน่อย เราก็จะเห็นปราสาทชูริ (首里城) เด่นเป็นสง่า ปราสาทชูริเป็นศูนย์กลางของอำนาจการปกครองเกาะที่ใหญ่ที่สุดของอาณาจักรริวกิวมาตั้งแต่การรวมตัวกันของสามแคว้นหลักบนเกาะโอกินาว่าให้เป็นปึกแผ่นในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยแคว้นชูซันซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของเกาะได้รับชัยชนะเหนือแคว้นโฮขุซันทางตอนเหนือและแคว้นนันซันทางตอนใต้ และได้รับการรับรองความเป็นชาติจากจักรวรรดิจีน จุดนั้นเองที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ชาติริวกิว นอกจากอาณาจักรริวกิวจะเป็นรัฐบรรณาการของจักรวรรดิจีน

บัลลังก์จำลองที่ปราสาทชูริ

แล้ว ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าจากจีน และได้รับอิทธิพลจากจีนในแง่ของวัฒนธรรมและความเป็นอยู่หลายๆ อย่าง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนจีนมากกว่าญี่ปุ่นด้วยซ้ำ

แบบจำลองปราสาทชูริ แสดงพิธีการแต่งตั้งเจ้าเมือง โดยมีผู้แทนจากจีนเข้าร่วมพิธีด้วย

           ดูเหมือนจีนหน่อยๆ ญี่ปุ่นนิดๆ บางมุมก็มีกลิ่นอายเกาหลีนะ

นั่นคือความคิดแว่บแรกของเราหลังจากที่มาถึงปราสาทชูริที่ตัวอาคารเป็นอาคารไม้ทาสีแดงสดใส นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในได้โดยเสียค่าเข้าชมประมาณ 800 เยน น่าเสียดายว่าเจ้าหน้าที่กำลังบูรณะตัวปราสาทด้านหน้า ทำให้เราอดถ่ายรูปอาคารไม้สีแดงแบบเต็มๆ ได้แต่ชำเลืองมองแบบจำลองที่ตั้งอยู่ภายในเท่านั้น แต่เรายังสามารถเดินชมภายในตัวปราสาท หรือชมทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างไม่เสียอรรถรส ถ้าไม่หันกลับมามองนั่งร้านที่บังตัวปราสาทไปเกินครึ่ง

“ไม่เป็นไร ไว้ค่อยมาซ่อมคราวหน้าก็ได้”

เป็นความคิดสุดท้ายของเราก่อนเดินออกจากตัวปราสาท กลับเข้าสู่ภายในเมือง

รถรางลอยฟ้าสายเดิมพาเรามาสู่ถนนโคขุไซ (Kokusaidori – 国際通り) ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมืองนาฮา สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านขายของที่ระลึกต่างๆ อาทิ ข้าวเกรียบรสกุ้งลายเสือ ทาร์ตมันม่วง เราลงจากรถไฟที่สถานีเคงโจมาเอะ (Kencho-mae) ซึ่งมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ชื่อริวโบตั้งอยู่ ข้างๆ เป็นที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาลท้องถิ่น เราเลือกเริ่มต้นการเดินจากจุดนี้เพราะเราสามารถเดินเล่นบนถนนโคขุไซได้ตั้งแต่หัวถนน เดินชิมขนมและอาหารไปเรื่อยๆ ก่อนจะแยกออกจากถนนใหญ่ไปยังซอยเล็กๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ตลาดปลามากิชิ (Makishi Fish Market – 牧志公設市場)

อาหารทะเลสดๆ ที่ตลาดปลา
ศูนย์อาหารตั้งอยู่ชั้นบนของตลาดปลา

ใครที่จะมาเที่ยวตลาดปลามากิชิ ขอให้ลืมภาพตลาดปลาไฮโซที่ไทเปหรือที่สุขุมวิทไปซะก่อน เพราะนี่คือตลาดสดแท้ๆ มีการแล่ปลากันจริงจัง แบบซื้อจริงขายจริงโนสลิงโนสตั๊นท์ แต่ถึงจะเป็นตลาดสดแต่ก็สะอาดสะอ้านตามมาตรฐานญี่ปุ่น ไม่มีน้ำขังหรือแมลงสาบวิ่งเล่นให้รำคาญใจแม้แต่น้อยแต่ถ้าใครไม่โปรดปรานบรรยากาศตลาดสด ก็สามารถขึ้นไปชั้น 2 เพื่อไปรับประทานอาหารได้ โดยที่ชั้น 2 จะเป็นการจัดร้านคล้ายๆ ตลาดโต้รุ่งหรือฟู้ดคอร์ท ต่างกันตรงที่แต่ละร้านจะมีที่นั่งเป็นของตัวเอง และไม่มีการสั่งอาหารข้ามร้านเหมือนตลาดโต้รุ่งเมืองไทย เราเลือกเดินเข้าร้านหนึ่งร้านที่ดูแล้วมีอาหารโอกินาว่าและปลาดิบให้เลือกรับประทาน อาจเพราะกระแสญี่ปุ่นฟีเวอร์ที่ทำให้อาหารโอกินาว่าเริ่มเป็นที่รู้จักของคนไทย แม้แต่ในกรุงเทพฯก็มีร้านอาหารโอกินาว่าให้เราได้ลองสัมผัสวัฒนธรรมแบบชาวเกาะอยู่บ้าง
ซึ่งหลายต่อหลายคนที่ได้เคยลองอาหารโอกินาว่าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เหมือนอาหารไทยจังเลย”

จะว่าไป อาหารจานเด็ดของโอกินาว่านั้นก็ดูละม้ายคล้ายคลึงอาหารไทยเชื้อสายจีนอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่มะระผัดไข่ที่ดูหน้าตาคุ้นเคย เพียงแต่ผ่านการปรุงรสที่เบาบางจึงได้รสชาติของมะระอย่างเต็มที่ หรือหมูสามชั้นต้มเค็มที่ดูเหมือนมาจากเยาวราช สาหร่ายพวงองุ่นที่เดี๋ยวนี้หาได้ทั่วไปแม้แต่ตามตลาดนัดในกรุงเทพฯแต่สาหร่ายพวงองุ่นของโอกินาว่าจะยังมีรสเค็มจากน้ำทะเลปะแล่มๆ ต้องจิ้มทานกับซอสเปรี้ยว หรือแม้กระทั่งเต้าหู้ยี้ก้อนเล็กๆ แต่รสเข้มที่ต้องบิทานทีละนิด ไม่เพียงแต่อาหารเท่านั้น

เครื่องดื่มดังประจำเกาะโอกินาว่าอย่างเหล้าขาวอาวาโมริ (Awamori – 泡盛) นั้น ว่ากันว่าได้รับอิทธิพลมาจากเหล้าขาวของไทยเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีและมีการค้าขายกับอาณาจักรริวกิวนี่เอง

ส่วนหนึ่งของอาหารโอกินาว่า

วันรุ่งขึ้นเราตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้จะต้องเดินทางไกลเราเริ่มต้นด้วยการนั่งรถรางลอยฟ้าไปยังท่ารถประจำเมืองนาฮา แล้วยืนรอรถเมล์สาย 83 อยู่ซักครู่ เพื่อที่จะไปสวนสนุกโอกินาว่าเวิรล์ด (Okinawa World) เนื่องจากเป็นสายรถที่ 1-2 ชั่วโมงจะมาซักคัน จึงต้องเช็คตารางรถให้ดี

อาจเพราะเป็นรถขาออกรอบที่ไม่ค่อยเช้านักผู้โดยสารบนรถจึงค่อนข้างบางตา เราเลยได้นั่งชมวิวสองข้างทางอย่างสบายๆ ระหว่างที่รถเมล์พาเราไปสู่จุดหมาย จากใจกลางเมืองนารา เราเห็นสภาพชุมชนเมืองค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยหมู่บ้านและทุ่งหญ้าสอง
ข้างทาง ก่อนที่รถจะจอดที่สถานีปลายทางเกียวคุเซนโดมาเอะ (Gyokusendo-mae) ทันทีที่ลงจากสถานี เราก็เห็นประตูสีแดง สัญลักษณ์ของสวนสนุก Okinawa World ตั้งตระหง่านอยู่

สวนสนุกโอกินาว่าเวิรล์ดมี 3 ส่วน คือส่วนถ้ำเกียวคุเซนโด (Gyokusendo Cave) ซึ่งอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านในมีหมู่บ้านริวกิวและสวนงู ด้วยความที่เราไม่ได้พิศมัยงูเท่าใดนักจึงเลือกซื้อตั๋วแบบที่สามารถเข้าชมเฉพาะถ้ำและหมู่บ้านริวกิว สนนราคา 1240 เยน

ภายในถ้ำเกียวคุเซนโดะ

ทันทีที่เดินเข้าถ้ำเกียวคุเซนโด ลมเย็นๆ อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียสก็ปะทะหน้าเราทันที ภายในถ้ำมีไฟเป็นจุดๆ แต่ก็นับว่ามืดสลัวถ้าเทียบกับแดดจ้าภายนอก เมื่อสายตาเราปรับเข้ากับความมือได้แล้ว ภาพแรกที่มองเห็นคือหินงอกหินย้อยเต็มทั้งสองฝั่งของทางเดินที่พาดผ่านกลางถ้ำมีลำธารเล็กๆ ไหลเคียงไปตลอดทาง ระยะทางในถ้ำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมนั้นยาวไม่ถึง 1 กิโลเมตร หากแต่ทุกมุมมีรายละเอียดที่ทำให้ต้องครุ่นคิดถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่สามารถสรรสร้างความงดงามแปลกตาได้โดยปราศจากตัวช่วยใดๆ

เมื่อก้าวออกจากถ้ำ โซนต่อไปคือหมู่บ้านริวกิว ซึ่งเป็นการจำลองวิถีชีวิตและวัฒนธรรมแบบชาวริวกิวโบราณ ทั้งหมู่บ้านมีเสียงดนตรีพื้นบ้านของริวกิวคลอไปตลอด ทั้งจากดนตรีบรรเลงสดจากฝีมือนักดนตรีตามซุ้มขายซันชิน (三線) หรือซอพื้นบ้านริวกิวที่ทำจากหนังงู และจากแผ่นซีดีที่มีซุ้มขายตลอดทางเช่นกัน นอกจากดนตรีแล้วในหมู่บ้าน
ยังมีงานหัตถกรรมเล็กๆ น้อยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลองสัมผัส (โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ไม่ว่าจะเป็นการปั้นเครื่องปั้นดินเผา ทอผ้า เป่าแก้ว ทำกระดาษ ย้อมคราม ฯลฯ เราก้มลงมองดูนาฬิกาที่บอกเวลาบ่ายต้นๆ อืม… ยังพอมีเวลา ถึงจะไม่มากนักก็เถอะ เราจึงเลือกเข้าไปลองทอผ้าด้วยกี่โบราณแบบโอกินาว่าดู  

          การเรียนทอผ้าหลักสูตรเร่งรัดที่นี่ไม่ใช่เรื่องยากเพราะทันทีที่เรานั่งลงที่กี่ทอผ้า ครูจะบอกให้เราเหยียบคันเหยียบตามหมายเลข พลางสอดกระสวยด้ายสลับไปมาสลับกับ

ที่คั่นหนังสือ ลายพื้นเมืองริวกิว

กระทุ้งด้ายให้แน่น ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้นและเงินประมาณ 800 เยน กับการ “เหยียบตามคำบอก” เราก็ได้ที่คั่นหนังสือแบบทอมือมาเก็บไว้เป็นความภาคภูมิใจ พลางนึกในใจว่าด้วยฝีมือระดับนี้ เราคงยึดการทอผ้าเป็นอาชีพสำรองไม่ได้แน่ๆ

ก่อนกลับ เรานั่งรอชมการแสดงกลองเอสะ ซึ่งถือเป็นการแสดงพื้นบ้านของริวกิวที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่น่าเสียดายที่การแสดงทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นและห้ามถ่ายภาพโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยภาษากายและความสามารถของนักแสดง คนดูที่รู้ภาษาญี่ปุ่นแบบงูๆ ปลาๆ อย่างเราก็สามารถสนุกไปกับการแสดงได้

======================================

ข้าวหน้าปลาดิบ
น้ำทะเลสีสวยที่ท่าเรือโทยะ

หลังจากใช้เวลา 2 คืนแรกที่เมืองนาฮา วันนี้เราจะออกตระเวนรอบเกาะ เริ่มต้นด้วยการรับรถเช่าก่อนขับรถขึ้นเหนือ แวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ท่าเรือโทยะในเมืองโยมิตันที่มีร้านอาหารทะเลเล็กๆ ชื่อ “อูมินชู” ที่เราเคยเห็นในรีวิวในอินเทอร์เน็ตอยู่ ในรีวิวบอกว่าเป็นร้านไม้เล็กๆ อยู่ติดท่าเรือ แต่พอไปถึง อาคารไม้หลังที่ว่ากลายเป็นอาคารร้างไปเสียแล้ว เพราะร้านอาหารย้ายขึ้นไปตั้งอยู่บนอาคารคอนกรีต 2 ชั้นขนาดใหญ่ข้างๆ ที่คงเพิ่งสร้างเสร็จ เพราะยังเห็นแจกันดอกไม้แสดงความยินดีตั้งอยู่เนืองแน่นทางเข้าที่ชั้น 1 อืม… คงทำมาค้าขึ้นแน่ๆ ถึงได้อัพเกรดจากบ้านไม้เล็กๆ กลายเป็นตึกใหญ่โต แต่ถึงแม้ตัวอาคารจะเปลี่ยนไป แต่ความสดใหม่ของอาหารทะเลราคามิตรภาพก็ยังเป็นจุดขายของที่นี่

หอสังเกตการณ์ใต้น้ำ

จากเมืองโยมิตัน เรายังคงขับรถขึ้นเหนือไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งคือสวนน้ำบูเซนะ (Busena Marine Park) ซึ่งเป็นหาดทรายตามแนวปะการังน้ำตื้น มีเรือท้องกระจกและหอสังเกตการณ์ใต้น้ำที่ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งกว่าร้อยเมตร ไว้ให้เราส่องดูปลาน้อยใหญ่ตามแนวปะการังอีกด้วย ขากลับก่อนขึ้นรถต้องเดินผ่านหาดทรายขาวๆ ที่กันขวางผืนน้ำไว้ น้ำทะเลใสๆ สีครามปนเขียวเหมือนเทอคอยซ์ทำให้เราอดใจไม่ได้ที่จะลองวิ่งลงไปเอาเท้าจุ่มน้ำทะเล แต่ทว่า…

เจี๊ยก! คือเสียงร้องของเราที่ดังขึ้นทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสน้ำทะเลที่เย็นเหมือนแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ข้ามคืน ความคิดที่จะเปลี่ยนชุดว่ายน้ำวิ่งลงทะเลโอกินาว่าจึงเป็นอันจบไปตั้งแต่วันนั้น

อันที่จริง การมาดูปลาที่หอสังเกตการณ์นี้เป็นเหมือนการอุ่นเครื่องให้กับจุดหมายต่อไปของเรา ซึ่งแม้จะไม่ใช่ปลาที่อยู่ตามธรรมชาติ แต่ก็มีการจำลองแหล่งปลาชุกชุมในกระแสน้ำอุ่นคุโรชิโว (Kuroshio Current) ซึ่งพาดผ่าน แนวหมู่เกาะน้อยใหญ่ของโอกินาว่า มาไว้ในแทงค์น้ำขนาดใหญ่ยักษ์ ใช่แล้ว… เรากำลังพูดถึงชูราอุมิอควาเรียม (Churaumi Aquarium – 美ら海水族館) หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ ซึ่งเคยเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกก่อนจะต้องเสียตำแหน่งให้กับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา ไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ห้ามพลาดในการมาเยือนโอกินาว่าของใครต่อใครเป็นแน่แท้ เพราะเมื่อเราพยายามจะเช็คอินในแอพพลิเคชั่นเครือข่ายสังคม ก็พบว่ามีคนเช็คอินไปแล้วเป็นหลักล้าน

ก่อนซื้อตั๋ว โปรดจงทำใจไว้ว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นของชอบของครอบครัว ดังนั้น จะเดินไปมุมไหน ท่านก็จะได้พบเด็ก เด็ก และเด็ก ตั้งแต่วัยแบเบาะนอนในรถเข็น ไปจนถึงวัยอนุบาล ประถม และมัธยมเลยทีเดียว ถ้าโชคดีมากๆ อาจจะแจ็คพอตได้เจอกับเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษาเป็นหมู่คณะได้ แต่จากประสบการณ์การเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เต็ม ไปด้วยเด็กมาหลายที่ทั่วโลก เราคิดว่าเด็กญี่ปุ่นค่อนข้างมีระเบียบเรียบร้อย ไม่ค่อยน่าปวดหัวสักเท่าไหร่ ยิ่งเราเป็นคนต่างชาติด้วยแล้วเด็กๆ จะไม่ค่อยอยากมาวอแวด้วยเลย

ไฮไลต์ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ คือบ่อกระจกขนาดใหญ่ยักษ์ที่บรรจุน้ำทะเลอยู่เกือบ 2 ล้านแกลลอน ภายในมีปลาฉลามวาฬตัวใหญ่และปลากระเบนแมนตาอยู่หลายตัว เวลาทองของการชมบ่อนี้คือช่วงให้อาหารปลาคงไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นปลาฉลามวาฬมากินอาหารอยู่ข้างๆ และเมื่อยักษ์ใหญ่ใจดีเหล่านี้อิ่มท้อง ก็ถึงเวลาโชว์ตัวด้วยการว่ายน้ำเฉียดๆ กระจกฝั่งคนดู เฉียดมาทีก็จะมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงเราด้วย
ก็แหม… มันอดตื่นเต้นไม่ได้นี่นา

นอกจากสัตว์น้ำที่ถูกจัดแสดงภายในตัวอาคารแล้ว ยังมีบ่อเต่าและโชว์ปลาโลมาด้านนอกด้วย เพียงแต่ว่าด้วยเวลาที่ล่วงเลยไปจนพระอาทิตย์เกือบจะตกดินแล้ว ทำให้เราตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่หาดมรกต (Emerald Beach) ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อรอดูพระอาทิตย์หย่อนตัวลงสู่พื้นน้ำมหาสมุทรแปซิฟิคอย่างช้าๆ… วันหยุดหมดลงอีกวันแล้วสินะ

สะพานโคริ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราขับรถไปยังเกาะโคริ (古宇利島) ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักเราบนเกาะยางาจิ (屋我地島) เท่าใดนักโดยมีสะพานโคริที่มีความยาวราว 2 กิโลเมตรเชื่อมเกาะทั้ง 2
เข้าไว้ด้วยกัน หาดทรายบนเกาะโคริขาวสะอาดแม้ทรายจะไม่ละมุนเท้าเท่าตามเกาะแก่งของทะเลบ้านเรา ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอมเขียวที่ใสจนมองเห็นพื้นทรายได้แม้ในวันที่ฟ้าไม่เปิดเช่นนี้

ซากปราสาทนาคิจิน

ไม่ไกลจากเกาะโคริเป็นที่ตั้งของซากปราสาทนาคิจิน (Nakijin Castle Ruins – 今帰仁城跡) ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก ปราสาทนาคิจินเคยเป็นที่มั่นของแคว้นโฮขุซันทางตอนเหนือของเกาะมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 แต่ต่อมาต้องเพลี่ยงพล้ำให้แก่แคว้นชูซันทางตอนกลางและถูกควบรวม ก่อนที่แคว้นชูซันจะรวมแคว้นนันซันเข้าไว้ด้วยกันและรวมชาติเป็นอาณาจักรริวกิวได้ น่าเสียดายที่ตัวปราสาทเองถูกทำลายไปจนเกือบหมดในช่วงสงคราม เหลือเพียงซากปรักหักพังของฐานปราสาทเท่านั้น นอกจากซากปราสาทแล้ว ในบริเวณนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบได้ในบริเวณปราสาท ตลอดจนแบบจำลองชีวิตของชาวโอกินาว่าโบราณอีกด้วย

ก่อนที่ตะวันจะคล้อยบ่าย เราแวะร้านคิชิโมโตะ โชขุโด (きしもと食堂) ซึ่งเป็นร้านขายโซบะสไตล์โอกินาว่าชื่อดังในเมืองโมโตบุที่อยู่มานานเกินศตวรรษ ตัวร้านมีขนาดเล็กและทรุดโทรมไปบ้าง แต่นักชิมที่ต่อแถวกันยาวหน้าร้านเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีว่าร้านนี้เด็ด

ถ้าจะให้พูดถึงโซบะสไตล์โอกินาว่า ต้องขอบอกว่าโปรดจงลืมโซบะญี่ปุ่นทั่วๆ ไป ที่ท่านเคยได้รับประทานมาก่อน เพราะโซบะสไตล์โอกินาว่าแทบไม่มีอะไรเหมือนโซบะทั่วไปเลย เริ่มตั้งแต่ตัวเส้นที่ใหญ่เหมือนเส้นอุด้งมากกว่าเส้นโซบะน้ำซุปที่ผสมผสานรสชาติของสาหร่ายคอมบุ ปลาแห้ง และกระดูกหมู รสชาติเข้มละม้ายคล้ายคลึงน้ำซุปราเมง มากับ
เครื่องเคียงอันได้แก่หมูสามชั้นตุ๋นจนเปื่อยและลูกชิ้นปลา โรยด้วยหอมซอยด้านบน เวลารับประทานต้องลองหยดโคเรงุสุ (Koregusu – 高麗胡椒) ซึ่งเป็นเหล้าขาวอาวาโมริแช่พริก ช่วยเพิ่มความลึกล้ำให้กับรสชาติ

แหลมซัมปา
แหลมมันซาโม

สำหรับเรา วันนี้เป็นวันเก็บตกสถานที่เช็คอินสุดฮิต ไม่ว่าจะเป็นสวนสับปะรด (Nago Pineapple Park) ซึ่งเป็นสวนสับปะรดกึ่งๆ สวนสนุกสำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าชมโดยเฉพาะ แน่นอนว่ามีร้านขายของที่ระลึกให้ละลายทรัพย์ไปฝากคนที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำสับปะรด ไวน์สับปะรด และขนมขึ้นชื่ออื่นๆ ของโอกินาว่า แหลมมันซาโม (Cape Manzamo -万座毛) ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายๆ ช้างและคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ถ้าขับรถจากแหลมมันซาโมประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงแหลมซัมปะ (Cape Zampa -残波岬) ที่มีประภาคารสีขาวเป็นจุดเด่น แถวนี้เป็นแหล่งตกปลาและดำน้ำที่มีชื่อเสียง ถึงแม้เราจะมาถึงตอนเย็นๆ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังเห็นนักดำน้ำเพิ่งขึ้นจากทะเลกันเป็นกลุ่มใหญ่

เรากลับถึงตัวเมืองนาฮากันตอนเกือบค่ำ หลังจากไปเดินดูบรรยากาศบนถนนโคขุไซครั้งสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย แต่ก่อนกลับก็ขอแวะชิมไอศกรีมบลูซีล (Blue Seal) ซักครั้ง ว่ากันว่าไอศกรีมบลูซีลเป็นไอศกรีมเชื้อชาติอเมริกันแต่เติบโตที่โอกินาว่า เข้ามาตั้งแต่สมัยอเมริกามาตั้งฐานทัพในญี่ปุ่น หน้าตาเหมือนไอศกรีมโฟร์โมสต์ที่เคยเห็นสมัยเด็กๆ ที่ต่างกันคือรสชาติไอศกรีมที่หอมหวานมันสมกับทั้งสัญชาติและเชื้อชาติเลยทีเดียว

การแสดงกลองเอสะบนถนนโคขุไซ

เราจ้องมองท้องฟ้าใสๆ ยามค่ำคืนเหนือท่าอากาศยานนาฮา ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เราก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามาโอกินาวาดีกว่าไปเที่ยวหลีเป๊ะจริงหรือไม่อย่างที่เคยถูกทักท้วงไปตั้งแต่แรก แต่ส่วนผสมที่กลมกล่อมระหว่างอากาศเย็นๆ ฟ้าใส น้ำทะเลสีคราม อาหารทะเลสดใหม่ และวัฒนธรรมริวกิวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร น่าจะพอจูงใจให้ใครต่อใครเขียนคำว่า “โอกินาวา” เอาไว้ในรายชื่อสถานที่ที่ต้องไปเยือนอย่างแน่นอน.