การประเมินผลกระทบกรณีการทำธุรกรรม Escrow ในช่วงที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์โควิด-19

การประเมินผลกระทบกรณีการทำธุรกรรม Escrow ในช่วงที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์โควิด-19

บทความโดย
ธันยวรัชญ์ เพชรจิราวุฒิ

Escrow คืออะไร?

สำหรับท่านที่อาจจะยังไม่คุ้นเคย Escrow คือกระบวนการทางกฎหมายที่ใช้ในการรักษาเงินหรือทรัพย์สินในขณะที่กำลังดำเนินการหรือรอสิ้นสุดของสัญญาระหว่างสองฝ่าย ซึ่งสามารถกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นการที่มีคนกลางซึ่งรับเงินหรือทรัพย์สินจากฝ่ายหนึ่งและถือรักษาไว้จนกว่าเงื่อนไขในสัญญาจะเป็นจริง แล้วจึงส่งเงินหรือทรัพย์สินนั้นให้กับฝ่ายอีกฝ่ายหนึ่ง

ทั้งนี้ Escrow อาจมีค่าธรรมเนียมที่เสียในกรณีที่สัญญาหรือประกันที่ใช้ในกระบวนการ Escrow นั้นมีมูลค่าสูง แต่ราคาและเงื่อนไขดังกล่าวสามารถตกลงกันได้ก่อนเริ่มกระบวนการ Escrow

ในกระบวนการ Escrow คนกลาง (Escrow agent) จะเป็นบุคคลหรือหน่วยงานที่เป็นกลางระหว่างฝ่ายซื้อและฝ่ายขาย ซึ่งอาจเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานด้าน Escrow โดยเฉพาะ

ข้อกำหนดในการใช้ Escrow อาจแตกต่างกันไปตามความต้องการของคู่สัญญาแต่ละสัญญา อย่างไรก็ตาม กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องจะมีการระบุไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน

          แนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับการทำธุรกรรม Escrow เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจและการหยุดชะงักธุรกิจทั่วโลก ส่งผลให้การทำธุรกรรมออนไลน์มีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น ดังนั้นระบบ Escrow จึงเป็นกลไกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมออนไลน์ ทำให้ธุรกรรม Escrow ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปด้วยในช่วงที่ผ่านมาดังปรากฏตามตาราง

ตารางสถิติมูลค่าของการทำธุรกรรมดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาสะสม ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปี 2565

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

1. ปัจจัยที่ส่งผลให้โอกาสของการทำธุรกรรม Escrow ในช่วงโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น

1.1  ความปลอดภัยทางการเงิน: การระบาดของโควิดที่ผ่านมาได้สร้างความไม่แน่นอนทางการเงิน โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมฉ้อโกงและความไม่มั่นคงทางการเงิน. Escrow จึงเป็นกลไกที่ปลอดภัยสำหรับการทำธุรกรรม โดยที่เงินจะถูกเก็บไว้ที่บุคคลกลางที่เชื่อถือได้จนกว่าจะเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขทั้งหมดของการทำธุรกรรม ซึ่งจะช่วยปกป้องทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจากการหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้นหรือปัญหาการไม่ชำระเงิน

1.2  ความน่าเชื่อถือและความมั่นใจ: โควิด-19 ที่ผ่านมาได้ขัดขวางการดำเนินธุรกิจด้วยการติดต่อแบบตัวต่อตัวที่จำกัด ความไว้วางใจและความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ Escrow จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เป็นกลาง สร้างความไว้วางใจด้วยการรับรองว่าการทำธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจและสนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

1.3  การระงับข้อพิพาท: การแพร่ระบาดได้นำไปสู่การเพิ่มข้อพิพาทและความไม่ลงรอยกันเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดและการเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขทางธุรกิจ บริการ Escrow สามารถมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขข้อพิพาทโดยทำหน้าที่เป็นคนกลางและถือเงินจนกว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะบรรลุข้อยุติที่ยอมรับร่วมกัน สิ่งนี้ช่วยลดความขัดแย้งและให้ทางออกที่ยุติธรรมและเป็นกลาง

1.4  การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทางไกล: มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและข้อจำกัดการเดินทางทำให้คู่สัญญาพบปะกันและทำธุรกรรมให้เสร็จสิ้นได้ยาก ดังนั้น Escrow จึงเป็นการเปิดใช้งานการทำธุรกรรมระยะไกลโดยการจัดหาแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถมีส่วนร่วมในธุรกิจโดยไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กัน ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการและขจัดอุปสรรคทางภูมิศาสตร์ อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมที่ราบรื่นในลักษณะไร้สัมผัส

1.5  การปกป้องสิทธิของผู้บริโภค: เนื่องจากความต้องการซื้อและบริการออนไลน์เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีโรคระบาด การคุ้มครองผู้บริโภคจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ การให้บริการ Escrow จึงเป็นแนวทางการป้องกันสำหรับผู้ซื้อ เพื่อให้มั่นใจว่าการชำระเงินของพวกเขาจะถูกระงับอย่างปลอดภัยจนกว่าสินค้าหรือบริการจะถูกส่งมอบตามที่ตกลงไว้ และลดความเสี่ยงของการฉ้อโกงหรือการไม่จัดส่ง

2. การนำเครื่องมือ Escrow มาใช้ประโยชน์เพื่อซื้อสินค้าและบริการช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19ในตลาดต่างประเทศที่ผ่านมา

2.1 ประเทศสหรัฐอเมริกา

(1)  ความต้องการสินค้าจำเป็นที่เพิ่มขึ้น: ด้วยมาตรการล็อกดาวน์และข้อจำกัดเกี่ยวกับร้านค้าที่ผ่านมาได้ส่งผลทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบ เช่น กรณีกลุ่มโรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ในประเทศอเมริกาได้รับผลกระทบจึงปิดทำการทั้งหมด หรือกำลังดำเนินการลดกำลังการผลิตลงอย่างมากกว่า 115 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกาในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อาหารแปรรูปมีราคาที่สูงขึ้น รัฐบาลสหรัฐจึงได้มีการนำระบบ Escrow มาใช้เพื่อใช้ป้องการฉ้อโกงสำหรับในการส่งออกขายต่างในประเทศ

(2)  การขยายตัวของความบันเทิงออนไลน์: เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาด จึงมีการขยายตัวของบริการความบันเทิงออนไลน์ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มการซื้อขาย NFT ในบางกลุ่มบุคคล ในปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการประกาศขาย NFT มูลค่าถึง 15,000,000 USD

ทำให้ธุรกิจ NFTs.com ได้มีการเลือกใช้บริการ Escrow ในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายจากการฉ้อโกงที่อาจจะเกิดขึ้น

(3)  ความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย: ในปี 2563 ที่ผ่านมาได้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลทำให้สินค้าหน้ากากอนามัยเป็นที่จำเป็นอย่างมาก ได้มีการนำธุรกรรม Escrow มาใช้ควบคุม เนื่องจากในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการฉ้อโกงจากเว็บไซต์ที่มีการปลอมแปลงในการซื้อขายหน้ากากอนามัย โดยมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 800,000 USD ทำให้หลายบริษัทในสหรัฐได้มีการเลือกใช้บริการ Escrow ในการทำธุรกรรมทางการเงินที่ปลอดภัย

2.2  ประเทศอินเดีย

          บริการจัดส่งอาหารออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น: ด้วยการแพร่ระบาดส่งผลให้ร้านอาหารต้องปิดตัวลง และข้อจำกัดในการรับประทานอาหารนอกบ้าน บริการจัดส่งอาหารออนไลน์จึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก บริการ Escrow มีบทบาทในการทำธุรกรรมเหล่านี้โดยการจัดหาแพลตฟอร์มการชำระเงินที่ปลอดภัยสำหรับลูกค้าในการสั่งอาหารและเพื่อให้ร้านอาหารได้รับการชำระเงินเมื่อส่งอาหารแล้ว กรณีศึกษา ชายอินเดียได้ทำการสั่งอาหารออนไลน์ในแพลตฟอร์ม แต่ไม่ได้รับสินค้าจึงทำการยกเลิกคำสั่งซื้อ แต่กลับถูกดูดเงินจากบัญชีออกไป 160 USD หลังจากนั้นจึงได้มีการนำ Escrow มาใช้ในแพลตฟอร์มออนไลน์ในการจัดส่งอาหารออนไลน์ เพื่อป้องกันการโกงผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นอีก

3. การเพิ่มขึ้นของการทำธุรกรรม Escrow ออนไลน์ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ที่ผ่านมา

    เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์เข้มงวดที่ผ่านมา ทำให้เกิดความกังวลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในการทำธุรกรรมทางเงิน เนื่องจากมีผลต่อกระบวนการโอนเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการเลือกใช้บริการ Escrow เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการดำเนินธุรกรรมทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้สามารถช่วยลดความกังวลให้แก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในกระบวนการทำธุรกรรมทางเงิน

ที่มา: กระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม

3.1  จากภาพรวมการคาดการณ์มูลค่า E-commerce ในปี 2568 จะมีการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ B2C มากที่สุด โดยมีอัตราเติบโต 8.5% โดยมีกลุ่มธุรกิจ B2G เติบโตรองลงมาในอัตราเติบโต 8.2% และกลุ่มธุรกิจ B2B เติบโตในอัตรา 6.2% ตามลำดับ ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ทำให้เกิดการเติบโตของ E-commerce: เนื่องจากร้านค้าต่างๆได้ปิดตัว หรือมีการดำเนินงานอย่างมีข้อจำกัด ผู้บริโภคจึงหันไปใช้แพลตฟอร์มการซื้อสินค้าออนไลน์แทน ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของ E-commerce มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้ และได้มีการนำระบบ Escrow เพื่อปกป้องทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย          

3.2  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เช่น การค้าข้ามพรมแดน เนื่องจากด้วยข้อจำกัดด้านการเดินทาง ทำให้การค้าระหว่างประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นอย่างมาก บริการ Escrow จึงเป็นแนวทางอีกหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนโดยทำให้แน่ใจว่าเงินจะถูกปล่อยไปยังผู้ขายเมื่อส่งมอบสำเร็จหรือเสร็จสิ้นตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้เท่านั้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศและสร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อีกทั้งในด้านการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็ก โดยการเพิ่มขึ้นของการทำธุรกรรมออนไลน์กับ Escrow ยังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจากได้หน้าร้านต้องปิดตัวลงจากการได้รับผลกระทบ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากจึงเปลี่ยนการดำเนินงานมาเป็นแบบออนไลน์ ดังนั้นบริการ Escrow ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ที่เพิ่งเติบโตสามารถดำเนินธุรกรรมที่ปลอดภัยและแข่งขันกับผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ได้

4. หลังจากการระบาดของ COVID-19 ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมหลายกลุ่มที่สามารถเลือกใช้ Escrow เพื่อช่วยในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจได้ เช่น

4.1  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มูลค่าสูง: ผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แล็ปท็อป เกมคอนโซล และอุปกรณ์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์มักทำธุรกรรมโดยใช้ Escrow การใช้ Escrow ทำให้ผู้ซื้อมั่นใจในการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาแพง โดยมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าของแท้ในสภาพที่ใช้งานได้

4.2 สินค้าฟุ่มเฟือยและของสะสม: Escrow มักใช้สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋าดีไซน์เนอร์ นาฬิกาหรู ของสะสมหายาก และงานศิลปะ มูลค่าสูงและความหายากของรายการเหล่านี้ทำให้ Escrow เป็นวิธีการชำระเงินที่ต้องการ เพื่อปกป้องทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจากกิจกรรมฉ้อโกงที่อาจเกิดขึ้น

4.3 อสังหาริมทรัพย์: Escrow มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ผู้ซื้อฝากเงินเข้าบัญชีเอสโครว์ ซึ่งจะปล่อยให้ผู้ขายทำเอกสาร การตรวจสอบ และกระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็นเสร็จสิ้น Escrow ช่วยให้มั่นใจได้ถึงการโอนเงินที่ราบรื่นและปลอดภัยในการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์

4.4  การขายยานพาหนะ: Escrow มักใช้สำหรับการซื้อและขายยานพาหนะ รวมถึงรถยนต์

รถจักรยานยนต์ เรือ และยานพาหนะ เป็นวิธีที่ปลอดภัยในการโอนเงินและช่วยให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้รับรถตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ก่อนที่จะชำระเงินให้กับผู้ขาย

   4.5  การขายและการควบรวมธุรกิจ: Escrow ใช้ในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขายหรือการควบรวมธุรกิจ ช่วยให้สามารถโอนเงินได้อย่างปลอดภัยและปกป้องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง Escrow ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อผูกพันตามสัญญาทั้งหมดก่อนที่จะมีการชำระเงินขั้นสุดท้าย

5. การคาดการณ์แนวโน้มการใช้บริการ Escrow ในอนาคตยังคงพัฒนาและขยายตัวต่อไปในอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไปนี้เป็นการคาดการณ์และการพัฒนาที่เป็นไปได้สำหรับการใช้เอสโครว์:

    5.1 การเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีคอมเมิร์ซ: จากการเปลี่ยนแปลงสู่การซื้อสินค้าออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ คาดว่าจะมีการดำเนินต่อไป และ Escrow จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย เนื่องจากธุรกิจและผู้บริโภคยอมรับการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการ Escrow จึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น โดยมอบวิธีการชำระเงินที่เชื่อถือได้และปกป้องผู้ซื้อและผู้ขายจากการฉ้อโกง

    5.2 การขยายตัวสู่อุตสาหกรรมใหม่: บริการ Escrow อาจขยายไปสู่อุตสาหกรรมและภาคส่วนใหม่ที่อาศัยการทำธุรกรรมด้วยตนเองแบบดั้งเดิม อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ บริการระดับมืออาชีพ และแม้แต่ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอาจได้รับประโยชน์จากความปลอดภัยและความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นจากบริการ Escrow

     5.3 มาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง: ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม Escrow อาจรวมมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และกิจกรรมฉ้อโกง ซึ่งอาจรวมถึงการรับรองความถูกต้องด้วยหลายปัจจัย การเก็บข้อมูลเอกสารสำคัญให้ปลอดภัย และวิธีการเข้ารหัสขั้นสูง เสริมความปลอดภัยของธุรกรรม Escrow

     5.4การผสานรวมกับเทคโนโลยีเกิดใหม่: บริการ Escrow อาจรวมเข้ากับเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่นบล็อกเชนและสัญญาอัจฉริยะ แพลตฟอร์ม Escrow ที่ใช้บล็อกเชนสามารถให้บันทึกการทำธุรกรรมที่โปร่งใสและป้องกันการปลอมแปลง ในขณะที่สัญญาอัจฉริยะสามารถทำให้การปล่อยเงินทุนโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพิ่มประสิทธิภาพและลดความจำเป็นในการแทรกแซงด้วยตนเอง

     5.5 การขยายตัวทั่วโลกและการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน: โดยบริการ Escrow คาดว่าจะอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนต่อไปโดยการจัดหาแพลตฟอร์มที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้สำหรับการค้าระหว่างประเทศ ในขณะที่การค้าทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริการการทำธุรกรรม Escrow สามารถช่วยเอาชนะความท้าทายของการชำระเงินระหว่างประเทศ การแปลงสกุลเงิน ระบบกฎหมายที่แตกต่างกัน และอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนที่ราบรื่นยิ่งขึ้น

     5.6  การร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล: ผู้ให้บริการ Escrow อาจร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ความร่วมมือนี้สามารถช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้บริโภค ธุรกิจ และสถาบันการเงิน ทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมายข้อบังคับ และมีบทลงโทษที่สามารถใช้ได้จริง

บทสรุป

      เนื่องจากช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่ผ่านมานั้น พบว่ากิจการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการล็อคดาวน์ มาตรการรักษาระยะห่าง และมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้เป็นตัวเร่งให้เกิดการซื้อขาย โดยมีการใช้บริการ Escrow มากขึ้น เนื่องจาก Escrow เป็นเครื่องมือสำคัญที่มีประสิทธิภาพในการใช้เพื่อป้องกัน หรือยับยั้งการเกิดปัญหาทางธุรกรรมทางการเงิน อีกทั้งการใช้บริการ Escrow ส่งผลให้เกิดความปลอดภัยในกลุ่มธุรกิจ อีกทั้งมีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกลุ่มธุรกิจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในแต่ละครั้ง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การเติบโตทางธุรกิจต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นไปอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป

แหล่งที่มาของข้อมูล

  • ปลดล็อคปัญหาธุรกรรมออนไลน์ด้วย Escrow Payment สืบค้นเมื่อ 7 มิถุนายน 2566 จาก https://www.storemesh.com/article/escrow-payment บริษัท ดิจิทัลสโตร์เมช จำกัด (มหาชน)

นางสาวธันยวรัชญ์ เพชรจิราวุฒิ
นักศึกษาฝึกงานจากคณะเศรษฐศาสตร์ ศรีราชา
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
ผู้เขียน