กระบี่ที่หนึ่งในใจ

กระบี่ที่หนึ่งในใจ

บทความโดย
ปภาพินท์ วีระภุชงค์

จังหวัดกระบี่ หนึ่งในจังหวัดที่เราหลงเสน่ห์ไม่เคยเลือนหาย เป็นจังหวัดที่จะต้องไปเที่ยวทุกปี และปีนี้ก็เช่นเดียวกัน… แต่สำหรับปีนี้มีความพิเศษตรงที่เราได้ใช้สิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในการไปท่องเที่ยว ซึ่งโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” นี้ เป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ เพื่อช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โรคโควิด-19) โดยให้ประชาชนได้ออกมาท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย ในจังหวัดที่ได้ไปท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการสร้างเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจในจังหวัดนั้นๆ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักในทริปนี้ รวมถึงค่าใช่จ่ายอื่นๆ เราได้ใช้สิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดยทริปนี้เราได้เลือกไปพักที่ โรงแรม โซฟิเทล  กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท เนื่องจากโรงแรมมีโปรโมชั่นพิเศษ

การเดินทางเริ่มต้นขึ้นที่สนามบิน เราพบนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมาก เตรียมตัวเดินทางไปท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย นั่นน่าจะเป็นเพราะผลจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคนไทย เพราะในช่วงสถานการณ์แบบนี้ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 

คนไทยต้องออกมาช่วยกัน ด้วยการ ท่องเที่ยวไทย และไทยช่วยไทย เท่านั้น โดยเราต้องช่วยกันกระตุ้นการบริโภค และสร้างรายได้ภายในประเทศ ให้มีเงินหมุนเวียนเป็นการช่วยคนไทยด้วยกันเอง วิธีการก็ง่ายนิดเดียว เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com และ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อใช้จ่ายผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่รัฐบาลสนับสนุน เพียงกรอกข้อมูลไม่กี่ข้อ ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก เป็นการใช้สิทธิ์ในโครงการเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคมภาคการท่องเที่ยว

โดยรัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าที่พักโรงแรม โฮมสเตย์ ในอัตรา 40% แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน โดยต้องจองผ่านระบบออนไลน์และต้องจ่ายเงินค่าที่พักเมื่อจองที่พักในทันที 60% ส่วนอีก 40% รัฐบาลจะจ่ายให้กับโรงแรมเอง เมื่อนักท่องเที่ยวเช็คเอาท์จากห้องพัก ส่วนเพื่อนๆ ท่านใดที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีการลงทะเบียนก็สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้สิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ผ่านเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com ได้เลยค่ะ สำหรับเราโครงการนี้คือดีมากๆ

จากกรุงเทพฯ เรานั่งเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็มาถึงสนามบินกระบี่ รถโรงแรมมารอรับพร้อมเดินทางเข้าสู่ที่พัก ระหว่างทางจากสนามบินถึงโรงแรมสองข้างทาง เราพบว่า จังหวัดกระบี่มีคาเฟ่เปิดใหม่หลายแห่ง แต่ละร้านมีกลุ่มวัยรุ่นกำลังนั่งกินกาแฟ ถ่ายรูปเล่น และมีร้านอาหารวิวธรรมชาติมากมายที่รอให้นักท่องเที่ยวไปดื่มด่ำบรรยากาศ ก่อนเดินทางถึงโรงแรม เราได้ขอแวะที่ “Dragon View Bar and Restaurant” ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ที่เพิ่งเปิดใหม่ อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักของเราเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นร้านที่ซ่อนตัวอยู่บนภูเขามีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก การตกแต่งของร้านถูกตกแต่งด้วยไม้ไผ่ ดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ภายในร้านมีที่นั่งให้เลือกเยอะมาก พร้อมมุมถ่ายรูปสุดชิค

ดังนั้น เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ที่แวะมาเยี่ยมเยือนหรือมาเที่ยวกระบี่ ต้องมาถ่ายรูปที่ร้านนี้ให้ได้สักครั้ง ยิ่งมาตอนพระอาทิตย์ตกดิน เรารับรองว่าเพื่อนๆ ต้องชอบ เพราะสวย มองเห็นวิวทะเลอ่าวพังงา เกาะยาวน้อย และยอดเขาหงอนนาคด้วย เหมาะกับการมาพักผ่อน นั่งชิล อ่านหนังสือ ชมวิวมากๆ เรารับรองว่าเพื่อนๆ ต้องร้อง “ว้าว” แน่นอน เมื่อมาเห็นบรรยากาศของร้านนี้ ที่ร้านยังมีทั้งเมนูอาหาร ของหวาน เครื่องดื่ม ซึ่งจัดว่าดีงามครบจบที่เดียวเลย

หลังจากเราอิ่มกับอาหารและบรรยากาศที่ร้าน “Dragon View Bar and Restaurant” แล้ว เราก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พัก (โรงแรม โซฟิเทล  กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท) ซึ่งพนักงานให้การต้อนรับดีมาก (ขอบคุณโปรโมชั่นของโรงแรม และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ของภาครัฐ จริงๆ) พนักงานต้อนรับพาเราเดิน แนะนำจุดต่าง ๆ ของโรงแรมจนทั่ว ซึ่งเราพบว่าที่โรงแรมแห่งนี้มีสระว่ายน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีสนามกอล์ฟ สนามเทนนิส ฟิตเนส สปา สามารถทำกิจกรรมทุกอย่างครบวงจรภายในโรงแรมแห่งนี้ แบบว่าไม่ต้องออกไปไหนกันเลยทีเดียว และเราโชคดีมากที่ช่วงที่เรามาทางโรงแรมจัดปาร์ตี้โฟมพอดี เรียกได้ว่าสนุกสนานลืมเหนื่อยกันไปเลย

วันถัดมาเราตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะออกเรือไปยังเกาะต่างๆ รอบนี้เราได้ไปทั้งเกาะห้อง แหลมหาด เกาะผักเบี้ย ต้อง  ขอบอกเลยว่าน้ำทะเลใสมาก และธรรมชาติทะเลฟื้นฟูสุดๆ ออกเรือได้สักพัก คนขับเรือแจ้งว่าเหมือนเห็นปลาตัวใหญ่ๆ ในน้ำ ซึ่งห่างจากโรงแรมเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าปลาตัวใหญ่ที่ว่านี้คือ “ฉลามวาฬ” ที่ปกติแล้วต้องดำน้ำลงไปถึงจะได้เห็นเท่านั้นแต่เจ้าฉลามวาฬกลับมาอยู่ใกล้เรือเรามาก เรียกว่าสามารถเอื้อมมือจับได้เลย อะไรจะโชคดีขนาดนี้ ฉลามวาฬเป็นพี่ใหญ่ใจดีในท้องทะเล และแน่นอนว่าไม่ได้มาเพียงตัวเดียวแน่นอน กลับพบถึงห้าตัว มาว่ายน้ำโชว์ให้พวกเราได้ถ่ายรูปสมใจ คนขับเรือแจ้งว่าฉลามวาฬจะขึ้นมากินแพลงตอนช่วงนี้ และมากันทั้งฝูง ซึ่งเจ้าฉลามวาฬจะอยู่แบบนี้ไปอีกประมาณสิบวันเลยทีเดียว ใครอยากมาเห็นต้องรีบเก็บกระเป๋ามาเลย ช่วงนี้ได้เห็นกันแน่นอน

ตื่นเต้นกับฉลามวาฬไปแล้วพวกเราไปต่อกันที่ “ลากูน ”ซึ่งลากูนนี้เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งของ เกาะห้อง หรือที่รู้จักกันในชื่อ อ่าวห้อง (ลากูน) ซึ่งเปรียบเสมือนสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ผนังเป็นหน้าผาชันโดยรอบ ลักษณะคล้ายห้อง มีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว กว้างประมาณ 10 เมตร สามารถนำเรือเข้าไปได้ พื้นเป็นทรายขาวสะอาดราบเรียบ น้ำตื้นและใสมาก เหมาะแก่การเล่นน้ำและยังเป็นที่หลบคลื่นลมของชาวประมงเมื่อมีพายุพัดผ่าน  ส่วนตัวเกาะห้องเองตั้งอยู่อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เป็นเกาะที่มีทัศนียภาพสวยงาม ทรายละเอียด เหมาะกับการพายคายัค เล่นน้ำ

เชื่อไหมว่าเกาะห้องได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 เกาะที่มีหาดสวยงามที่สุดในโลกด้วย น่าภูมิใจกับคนไทยที่สุด และเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเกาะห้องได้เปิดจุดชมวิว 360 องศา แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัดกระบี่ บนความสูง109เมตร ซึ่งต้องเดินขึ้นบันได 419 ขั้น เป็นวิวจากที่สูงมองลงมาจะเห็นทั้งเกาะแก่งมากมาย

ไม่ว่าจะเป็น เกาะเหลากา เกาะปากกะ เกาะเหลาลาดิง เกาะปอดะ เกาะไก่ หาดทับแขก และเกาะอื่นๆอีกมายมากเรียกได้ว่าใครได้ขึ้นไปคุ้มสุดๆ ทางเดินขึ้นลงก็ไม่ลำบากมากนักมีให้พักเป็นระยะๆ แถมบันไดก็เดินง่าย ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ถึง เรียกว่าเป็นอะไรที่ต้องห้ามพลาดเลยนะคะสำหรับแลนด์มาร์คแห่งใหม่นี้

เพลิดเพลินกับเกาะห้องได้สักพัก พวกเรานั่งเรือไปต่อยัง “เกาะผักเบี้ย” ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางด้านหลังของเกาะห้อง น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาด เหมาะแก่การลงเล่นน้ำ โดยเฉพาะการดำน้ำตื้นแบบสน็อกเกิ้ล บรรยากาศที่นี่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่อยู่ริมหาด เกาะผักเบี้ยนี้ แม้ว่าจะมีแนวชายหาดที่ไม่กว้างมากนัก แต่ก็มีหาดทรายที่ขาวสะอาดไม่แพ้หาดอื่นๆ เมื่อน้ำลงสันทรายที่เกาะผักเบี้ยนี้จะปรากฏเป็นแนวยาวไปจนจรดอีกเกาะหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า เกาะผักเบี้ย เช่นกัน และสามารถเดินถึงกันได้ในเวลาน้ำลงเต็มที่เท่านั้น เพราะในเวลาที่น้ำขึ้น น้ำก็จะแยกเกาะผักเบี้ยออกเป็นสองเกาะนั่นเอง

ถัดมาคือ “แหลมหาด” ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมัลดีฟเมืองไทยเลยทีเดียว สถานที่เที่ยวแห่งนี้ เป็นสถานที่เที่ยวชื่อดังอันดับต้นของเกาะยาวใหญ่ เพราะมีชายหาดซึ่งทอดตัวยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ในช่วงน้ำลดระดับลง เราจะมองเห็นทางเดินของผืนทรายที่เกิดจากการลดระดับลงของน้ำเหมือนกับสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างกันไม่เยอะได้ แหลมหาดนี้ ผืนทรายเม็ดละเอียดมาก แนะนำว่าต้องเดินเท้าเปล่า  อีกทั้งยังเคยเป็นสถาน ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Mechanic Resurrection อีกด้วย

หลังจากถ่ายรูปดื่มดำบรรยากาศของเกาะและหาดกันได้พอสมควร ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายคล้อย เราจึงเดินทางกลับโรงแรม โดยระหว่างทางกลับโรงแรมเรือได้ขับผ่าน “เกาะไก่” โดยบังเอิญ ซึ่งเกาะไก่เป็นหนึ่งในสามเกาะที่ทำให้เกิดสันทรายที่เราเรียกว่า “ทะเลแหวก ” ส่วนที่เรียกว่าเกาะไก่ก็เพราะว่าทางด้านปลายสุดของเกาะมีหินแหลมๆ เมื่อมองขึ้นไปแล้วคล้ายคอไก่ บ้างก็ว่าคล้ายๆ ไก่งวง จะคล้ายอะไรก็แล้วแต่คนมองจะจินตนาการไป เกาะไก่คือส่วนหนึ่งของทะเลแหวก อยู่ใกล้กับเกาะปอดะ เป็นทางผ่านของเรือที่พานักท่องเที่ยวไปท่องทะเลกระบี่

ระหว่างเรานั่งเรือกลับโรงแรมท่ามกลางแสงแดดแรง ฟ้าใส ทะเลใสจนเห็นตัวปลา มองวิวรอบๆ ตัวอย่างเพลินๆ เรารู้สึกโชคดีจังที่ได้เป็นคนไทย ประเทศที่มีทะเลหาดทรายสวยงามไม่แพ้ชาติใดในโลก เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเยอะจนติดอันดับโลก ที่สำคัญคือตัวเองได้มาพักผ่อน นอนฟังเสียงทะเล มาพบธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงมาเจอพี่น้องชาวใต้ที่ยังคงน่ารักอยู่เสมอ อยากชวนเพื่อนๆ มาเที่ยวกัน เก็บกระเป๋ามาตอนนี้ยังทันนะคะ แว่วๆ มาว่า ภาครัฐกำลังจะเพิ่มวงเงินให้กับโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพิ่มเติม มากระบี่  ครั้งนี้ทำให้เรานึกถึงเพลง

“โอ่โอปักษ์ใต้บ้านเรา
โอ่โอปักษ์ใต้บ้านเรา
แม่น้ำภูเขาทะเลกว้างไกล
อย่าไปไหนกลับใต้บ้านเรา อย่าไปไหนกลับใต้บ้านเรา”

มาช่วยคนไทย มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยกันด้วยการมาเที่ยวภาคใต้กันนะคะ