บทความโดย
ดร.กวิน เอี่ยมตระกูล
นายประกอบ สุริเยนทรากร
นายศักดิสิทธิ์ สว่างศุข
นางสาวกุสุมา จารุมณี
บทความนี้เป็นความเห็นเชิงวิชาการ ไม่อาจสะท้อนความคิดเห็นของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
1.บทนำ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การระดมทุนสาธารณะ (Crowdfunding) เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมสำหรับธุรกิจที่ขาดแคลนเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises) หรือวิสาหกิจรายใหม่ (Start-up) ที่ระดมทุนจากประชาชนและนักลงทุนเพื่อดำเนินกิจกรรมของธุรกิจ อย่างไรก็ดี การระดมทุนสาธารณะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ แต่แนวคิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยในระยะแรกเป็นการระดมทุนที่ของกิจการสาธารณะที่ไม่หวังผลตอบแทน หรือ Civic Crowdfunding ตัวอย่างที่สำคัญ ได้แก่ การระดมทุนสร้าง “เทพีเสรีภาพ” ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา[1] โดยหลังจากที่ฝรั่งเศส ส่งมอบเทพีเสรีภาพให้กับสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการชื่นชมที่ชาวอเมริกันมีความกล้าหาญในการประกาศอิสรภาพจากสหราชอาณาจักร ปัญหาที่ตามมาคือ American Committee ไม่สามารถที่จะหาสถานที่ตั้งและจัดสร้างฐานเทพีเสรีภาพได้ จึงทำให้ Joseph Pulitzer นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกัน จึงได้จัดทำโครงการระดมทุนจากพลเมืองชาวอเมริกัน ทั้งนักเรียน นักธุรกิจ และนักการเมือง กว่า 1 แสนคน เป็นเวลา 6 เดือน และสามารถระดมทุนได้แก่ 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้สามารถสร้างเทพีเสรีภาพได้สำเร็จ ส่วนในกรณีของประเทศไทย คือ โครงการคนละก้าวของตูน บอดี้แสลม เพื่อระดมทุนช่วยเหลือในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล เป็นต้น
[1] Anonymous. (2013, April). The Statue of Liberty and America’s crowdfunding pioneer. BBC NEWS, https://www.bbc.com/news/magazine-21932675
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่ารูปแบบการระดมทุนสาธารณะในอดีตส่วนใหญ่นิยมใช้การบริจาค (Donation-base) เป็นสำคัญ แต่ด้วยการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประกอบกับอินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การระดมทุนสาธารณะจึงได้ก้าวเข้าสู่รูปแบบแพลตฟอร์ม (Platform) โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล จึงทำให้การระดมทุนสาธารณะมีรูปแบบที่เปลี่ยนไปจากการบริจาค (Donation-based) มาสู่การเป็นเจ้าของกิจการ (Equity-based) การแสวงหากำไรจากกู้เงิน (Loan-based) และการให้ผลตอบแทนเป็นสินค้าที่จะผลิต (Reward-based) โดยในปัจจุบันบริษัทผู้พัฒนาการระดมทุนสาธารณะจะสร้างแพลตฟอร์ม ผ่านเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นที่เป็นตัวกลาง (Funding portal) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกการลงทุนได้ในจำนวนมากหรือน้อยตามความต้องการ โดยมีเงื่อนไขการลงทุนต่างระบุไว้อย่างชัดเจน โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ทุกคนทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกันทั้งฝั่งผู้ต้องการระดมทุนและผู้ที่ต้องการลงทุน
ในปัจจุบัน หน่วยงานท้องถิ่นในต่างประเทศได้ดำเนินโครงการการระดมทุนสาธารณะ เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของคนในชุมชน ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างความมีส่วนร่วมและเสริมสร้างความเข้มแข็งของคนในชุมชนแล้ว ยังเป็นการช่วยลดภาระงบประมาณของภาครัฐในการบริการสาธารณะอีกด้วย ตัวอย่างเช่น โครงการ The Hempline ของเมือง Memphis ในรัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการระดมทุนสาธารณะเพื่อสร้างช่องทางเดินรถจักรยานในเมือง เพื่อเชื่อมต่อสถานที่สำคัญ ๆ ทั้งธุรกิจ ท่องเที่ยว ราชการ และย่านที่พักอาศัยเข้าด้วยกัน[2] และ โครงการ Community Park ของเมือง Liverpool ของประเทศอังกฤษโดยกลุ่ม Friends of Flyover ได้ทำโครงการ (Campaign) ระดมทุนผ่านแพลตฟอร์ม Spacehive เพื่อสร้างสะพานรกร้างที่เทศบาลได้เตรียมงบประมาณในการทุบทิ้ง เป็นสวนสาธารณะใหม่ของเมือง (Elevated Park)[3] เป็นต้น
[2] Barnes, E. (2014, Oct). Case Study: The Hampline, https://blog.ioby.org/case-study-the-hampline/
[3] Anonymous. (2014, March). Friends of The Flyover’ Project Aims to Turn Flyover into Urban Park, https://liverpoolnoise.com/friends-of-the-flyover-project-aims-to-turn-flyover-into-urban-park/
จากตัวอย่างข้างต้น การระดมทุนสาธารณะเพื่อพัฒนาท้องถิ่นในบางประเทศ ประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับคือสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ประชาชนผู้ระดมทุนนั้นอาจไม่ได้รับผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินเป็นการตอบแทน ซึ่งหากโครงการไม่เป็นที่จูงใจหรือสร้างผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงเพียงพอก็ไม่อาจระดมทุนได้ครบตามเป้าหมาย ดังนั้น รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ จึงพยายามออกแบบนโยบายการระดมทุนสาธารณะที่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนสำนึกรักบ้านเกิดและได้สิทธิประโยชน์ไปในคราวเดียวกัน โดยบทความนี้คณะผู้เขียนจะของยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นเป็นหลัก
2. Hometown Tax กรณีศึกษาประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเคยเผชิญกับความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ ประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวนมากที่เติบโตในพื้นที่ชนบทได้มีการย้ายถิ่นไปอาศัยในเมืองหลวงมากขึ้น เพื่อโอกาสทางการศึกษาและการทำงานที่ดีกว่า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา โดยการกระจุกตัวของประชาชนในเขตเมืองใหญ่ทำให้เกิดปัญหาทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ ชุมชนแออัด และการจราจรติดขัด ประกอบกับสังคมผู้สูงอายุที่รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลเงินบำนาญและสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุจำนวนมาก ปัญหาเหล่านี้นับเป็นความท้าทายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น
โดยทั่วไป โครงสร้างภาษีของประเทศญี่ปุ่นแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ภาษีระดับประเทศ คือ ภาษีที่ต้องชำระเข้าส่วนกลางหรือระดับประเทศ ประกอบด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม และ 2) ภาษีท้องถิ่น คือ ภาษีที่ประชาชนในพื้นที่จ่ายให้ท้องถิ่นที่ตนอาศัย เช่น ภาษีเพื่อการอยู่อาศัย ภาษีการค้า ภาษีอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ทั้งนี้แบ่งได้ออกเป็น 2 ระดับ คือ ภาษีของจังหวัด (Prefecture) และ ภาษีของเทศบาล (Municipality)
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนที่เติบโตและใช้ประโยชน์จากบริการสาธารณะที่ทางท้องถิ่นจัดหาให้ แต่กลับย้ายถิ่นฐานเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงมากขึ้น ท้องถิ่นจึงได้รับผลกระทบ เนื่องจากประชาชนในพื้นที่กลับไปเสียภาษีให้กับพื้นที่เขตเมือง ทำให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดเก็บภาษีได้น้อยลงและไม่สามารถจัดทำบริการสาธารณะเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันเงินอุดหนุนจากงบประมาณส่วนกลางก็ไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ในกรณีฉุกเฉินได้อย่างทันต่อสถานการณ์ ดังนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยนายชินโซะ อาเบะนายกรัฐมนตรี จึงได้ริเริ่มระบบการชำระภาษีเพื่อพัฒนาบ้านเกิด (Hometown Tax) หรือ Furusato Nozei และได้ดำเนินการในปี 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสาธารณะจากเงินบริจาคของประชาชนให้กับเทศบาลท้องถิ่นสำหรับใช้ประโยชน์ในกิจการสาธารณะของพื้นที่ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นพื้นที่บ้านเกิดของตนเองแต่สามารถเลือกเทศบาลที่ต้องการสนับสนุนได้ทุกแห่ง และเงินบริจาคนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะเดียวกันก็จะได้รับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของขวัญตอบแทนคำขอบคุณ
Hometown Tax นอกจากจะเปิดโอกาสให้กับคนย้ายถิ่นมีส่วนร่วมและจิตสำนึกในการฟื้นฟูและพัฒนาบ้านเกิดแล้ว ยังช่วยให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นและลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ระหว่างเขตเมืองกับขนบทอีกด้วย โดยในช่วงเริ่มต้นของโครงการระหว่างปี 2551-2556 มียอดบริจาคสะสมจำนวนรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท[4] จนกระทั้งในปี 2558 รัฐบาลได้มีการยกเลิกแบบฟอร์มการบริจาค และสร้างระบบการยื่นขอคืนภาษีแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One-Stop Service)[5] ซึ่งช่วยคำนวณภาษีและเพดานเงินบริจาคที่ลดหย่อนได้ มีระบบติดตามของสัมมนาคุณ และอำนวยความสะดวกในการคืนภาษี[6] รวมทั้งเพิ่มเพดานลดหย่อนภาษีจากเดิมร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 20 ทำให้มียอดบริจาคเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาที่ตามมาคือ ท้องถิ่นแข่งขันดึงดูดเงินบริจาคด้วยของสมมนาคุณราคาสูง ซึ่งอาจไม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่น อาทิ ผู้ที่บริจาคเงินมากกว่า 8 ล้านเยน จะได้รับเปียโนแกรนด์เป็นของที่ระลึก[7] หรือกรณีที่ผู้บริจาคนำคูปองที่ได้รับเป็นของตอบแทนไปประมูลต่อบนเว็บไซต์ออนไลน์ จากปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ในปี 2561 รัฐบาลได้กำหนดมูลค่าของสมนาคุณไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินบริจาค ทำให้เงินบริจาคในปี 2562 ลดลงเล็กน้อย
[4] Anonymous. (2021, Sep). Japanese Hometown Tax System Sees Record Breaking Donations in 2020, https://www.nippon.com/en/japan-data/h01108/.
[5]ระบบการยื่นขอคืนภาษีแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One-Stop Service) https://www.furusato-tax.jp/ ของ TRUST BANK, Inc.
[6] พิทูร ชมสุข, เพชรลักษณ์ บุญญาคุณากร และ จิรวัฒน์ ภู่งาม. (2564). ลดความเหลื่อมล้ำบ้านเกิดด้วย Hometown Tax. Regional Letter แบ่งปันความรู้สู่ภูมิภาค ฉบับที่ 9/2564.
[7] Brasor, P.,& Tsubuku, M. (2018, Dec). Abuse is the Norm for Japan’s Hometown Tax Donation System, https://www.japantimes.co.jp/news/2018/12/07/business/abuse-norm-japans-hometown-tax-donation-system/.
ข้อมูลล่าสุดของกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารได้รายงานว่าปีงบประมาณ 2563 ระบบHometown Tax สามารถจัดเก็บภาษีได้สูงถึง 6.72 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน 2.85 แสนล้านเยน หรือคิดเป็นร้อยละ 38.0 ต่อปี โดยมีจำนวนครั้งการบริจาคสูงที่สุดถึง 34.89 ล้านครั้ง รายละเอียดดังรูปที่ 1 จะเห็นได้ว่าแม้ประเทศญี่ปุ่นจะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แต่รายได้จากภาษีและจำนวนครั้งการบริจาคกลับไม่ได้ลดลง โดยเมืองมิยาโกโนะโจ จังหวัดมิยาซากิ ซึ่งให้ของสมมนาคุณเป็นเนื้อหมูและเนื้อวัว จัดเก็บภาษีได้สูงสุดจำนวน 1.35 หมื่นล้านเยน ลำดับถัดไปคือเมือง 3 แห่งในจังหวัดฮอกไกโด ได้แก่ มงเบตสึ มุโระ และชิรานุกะ ที่จัดเก็บภาษีได้จำนวน 1.34 1.25 และ 0.97 หมี่นล้านเยน ตามลำดับ โดยทั้ง 3 เมืองส่วนใหญ่มอบอาหารทะเลเป็นการตอบแทนแก่ผู้บริจาค อย่างไรก็ดี เมื่อหักเงินลดหย่อนจากภาษีที่ได้รับจากประชาชนภายใต้ระบบ Hometown Tax ในปี 2563 ทำให้คาดว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากภาษีในปี 2564 จำนวน 4.31 แสนล้านเยน และมีผู้ได้รับการลดหย่อนประมาณ 4.3 ล้านคน รายละเอียดดังรูปที่ 2โดยเมืองโยโกฮาม่า จังหวัดคานางาวะเป็นเมืองที่มีการหักลดหย่อนภาษีมากที่สุดจำนวน 1.77 หมื่นล้านเยน สะท้อนว่าผู้คนที่ย้ายถิ่นฐานจากบ้านเกิดของตนเองมาประกอบอาชีพในเมืองดังกล่าวมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ระบบ Hometown Tax ได้นำมาใช้ในการระดมทุนสาธารณะที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่และวัตถุประสงค์ตัวอย่างเช่น เมืองซากาตะ จังหวัดยามากาตะ ประสบปัญหาที่สำคัญคือ ชาวประมงปลาหมึกพื้นที่เผชิญกับภัยคุกคามจากขีปนาวุธของประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งบุกรุกน่านน้ำของประเทศญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวทำให้เดือนสิงหาคม 2560 เทศบาลเมืองซากาตะได้ดำเนินการระดมทุนสาธารณะภายใต้ระบบ Hometown Taxเพื่อช่วยเหลือชาวประมงพื้นที่ โดยมีเป้าหมายขอรับเงินบริจาคผ่านทางระบบออนไลน์ จำนวน 5.35 ล้านเยนแต่ภายหลังการระดมทุนสิ้นสุด ณ เดือนธันวาคม 2560 ก็มียอดบริจาคมากกว่า 10 ล้านเยน ทั้งนี้เงินระดมทุนดังกล่าวได้นำไปใช้ในการสร้างโรงอาบน้ำแก่ชาวประมงใกล้กับท่าเรือของเมืองซากาตะและชำระค่ารถเช่าของชาวประมงที่ใช้เดินทางจากที่พักอาศัยไปยังท่าเรือ[8]
[8] Kezuka, H. (2017). CROWDFUNDING IN JAPAN: Expanding as the Popular Measure to Success and Support.[Degree Programme in Business Management, CENTRIA UNIVERSITY OF APPLIED SCIENCES]. https://www.theseus.fi/handle/10024/139981
ในขณะที่เมืองฮิโรโนะ จังหวัดฟูกูชิม ได้เคยเผชิญวิกฤตขาดแคลนแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยกว่า 100 คน หลังจากที่แพทย์ประจำเพียงคนเดียวของโรงพยาบาลทานาโนะ ได้เสียชีวิตลงในเดือนธันวาคม 2559[9] และโรงพยาบาลใกล้เคียงจำนวน 5 แห่งได้ปิดตัวลงเนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ภัยพิบัติจากสึนามิและนิวเคลียร์ ดังนั้น เมืองฮิโรโนะ จึงได้ออกแคมเปญการระดมทุนสาธารณะผ่านแพลทฟอร์ม ReadyFor จำนวน 2.5 ล้านเยน เพื่อรองรับเป็นค่าเดินทางและค่าที่พักให้กับแพทย์อาสาสมัครดูแลผู้ป่วยโดยปลายเดือนมีนาคม 2560 มียอดบริจาคสูงถึง 3 ล้านเยน และมีแพทย์อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 30 คนทั้งประเทศ ทั้งนี้เงินบริจาคขั้นต่ำคือจำนวน 3,000 เยนและสามารรถนำไปลดหย่อนภาษีต่อไปได้
[9] Mainichi. (2017, Jan). Crowdfunding for Fukushima Hospital with No Full-time Doctors A Huge Hit, https://mainichi.jp/english/articles/20170111/p2a/00m/0na/008000c
นอกจากนี้ ระบบ Hometown Tax ยังได้นำมาใช้การระดมทุนสาธารณะด้านศิลปะอีกด้วยโดยพิพิธภัณฑ์ Eisei Bunko ในกรุงโตเกียว ซึ่งจัดแสดงเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุและงานจิตรกรรม ของตระกูล Hosokawa โดยเฉพาะจิตรกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ของประเทศอย่าง Black Cat ของ Shunso Hishida ซึ่งเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงญี่ปุ่นสมัยเมจิ ทั้งนี้ผลงานจิตรกรรมบางส่วนมีความทรุดโทรม ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้รายได้จากการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลดลง ในเดือนกรกฎาคม 2563 ทางพิพิธภัณฑ์จึงได้มีแนวคิดที่จะระดมทุนสาธารณะเพื่อฟื้นฟูผลงานดังกล่าว โดยมีเป้าหมายการระดมทุนจำนวน 10 ล้านเยน และภายหลังสิ้นสุดโครงการก็สามารถระดมทุนได้ 14.75 ล้านเยน ทั้งนี้ ผู้บริจาคเงินเพื่อระดมทุนจะได้รับสิ่งจูงใจเป็นผลตอบแทนในรูปแบบของการเข้าฟังบรรยายออนไลน์โดยภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์และกระเป๋าที่ระลึก[10]
[10] Shimbun, Y. (2022, Jan). Crowdfunding, Hometown Tax Payments Help Repair Japan’s Cultural Properties, https://the-japan-news.com/news/article/0008117652
3.บทสรุป
การระดมทุนสาธารณะ (Crowdfunding) คือ การระดมทุนจากประชาชนและนักลงทุนจำนวนมากเพื่อนำมาผลิตสินค้าและบริการ โดยรัฐบาลในหลายประเทศได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างฟื้นฐานและกิจการสาธารณะของเมือง ญี่ปุ่นก็ถือเป็นประเทศต้นแบบที่ประยุกต์ใช้ Crowdfunding ในการชำระภาษีเพื่อพัฒนาบ้านเกิด (Hometown Tax) หรือ Furusato Nozei และได้ดำเนินการในปี 2551 เป็นต้นมา ทั้งนี้เมื่อถอดบทเรียนของ Hometown Tax ของประเทศญี่ปุ่นจะพบเป็นระบบที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เสียภาษีที่จะแบ่งรายได้ไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนากิจการสาธารณะของบ้านเกิดตนเองหรือท้องถิ่นอื่นให้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผู้เสียภาษีก็ได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนทางภาษีและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเป็นของสมมาคุณตอบแทน อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนกับหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดทำการบริการสาธารณะ และประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาหน่วยทางท้องถิ่นมีรายได้ไม่เพียงพอและเกิดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ เช่น สหรัฐอเมริกาและอังกฤษก็อยู่ระหว่างทำการศึกษาในการนำ Hometown Tax มาประยุกต์ใช้ สำหรับกรณีประเทศไทย หากมีระบบ Hometown Tax เกิดขึ้นจะช่วยให้ภาครัฐมีเครื่องมือทางการคลังเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้เสียภาษีก็มีช่องทางในการลดหย่อนภาษีที่หลากหลายขึ้น ทั้งนี้ เงินบริจาคจาก Hometown Tax จะมีส่วนเข้ามาดูแลสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ ตลอดจนกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
ดร. กวิน เอี่ยมตระกูล
เศรษฐกรชำนาญการ
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน
นายประกอบ สุริเยนทรากร
เศรษฐกรปฏิบัติการ
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน
นายศักดิสิทธิ์ สว่างศุข
เศรษฐกรปฏิบัติการ
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน
นางสาวกุสุมา จารุมณี
เจ้าพนักงานธุรการปฏิบัติงาน
สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
ผู้เขียน