น่าน… ที่นี่น่ารัก

น่าน… ที่นี่น่ารัก

        

 บทความและภาพ ปภาพินท์ วีระภุชงค์
เรียบเรียบ ดร. ปภาภรณ์ ชุณหชัชราชัย

 ธรรมชาติสวยงามเสมอ และต้องใช้เวลาอดทนเพื่อรอคอย เพราะธรรมชาติไม่สามารถบังคับได้” คำพูดนี้เกิดขึ้นในทริปที่เราประทับใจมากที่สุด เนื่องจากเราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่จังหวัดน่านกับครอบครัว  เรายอมรับเลยว่าปกติเรามักจะเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก จนบ่อยครั้งทำให้เราลืมการไปเที่ยวในประเทศของเราซึ่งมีสถานที่สวยๆ มากมายไม่ได้ต่างไปจากต่างประเทศเลย

 ปีนี้เราเลยตั้งใจว่าจะหันมาเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ภาคเหนือ ใต้ ออก ตก เราตั้งใจว่าจะต้องไป ให้ได้ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย นั่นคือเป้าหมายของเรา ทริปจังหวัดน่านครั้งนี้เกิดจากการที่เราอยากขึ้นเหนือ เนื่องจากไปภาคใต้มาบ่อยครั้ง แม่จึงเสนอว่าไปน่านกันไหม? เพราะแม่เคยไปครั้งหนึ่งแล้วประทับใจมาก เนื่องจาก บรรยากาศ ผู้คน อากาศ รวมถึงความเป็นธรรมชาติของที่นี่ที่ยังมีอยู่มาก พวกเราจึงตัดสินใจไปเที่ยวน่านกัน โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 3 วัน 2 คืน มีสมาชิกร่วมทริปด้วยกันทั้งหมด 5 คนคือ เรา น้องสาวสามคน และแม่เรานั่นเอง พวกเรานั่งเครื่องบินกันไปเพราะมีเวลาค่อนข้างจำกัด

ร้านข้าวซอยไก่จังหวัดน่าน แนะนำโดย คนท้องถิ่น

วันแรกที่ไปถึง พวกเราได้เข้าไปลองชิมข้าวซอยไก่ เพราะขึ้นเหนือทั้งทีก็ต้องกินอาหารเหนือ ร้านนี้เป็นร้าน ที่พนักงานขับรถแนะนำและบอกว่าอร่อยมาก ซึ่งก็อร่อยสมชื่อจริงๆ หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย พวกเราจึงเดินทางต่อเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปเที่ยว ตามจุดสำคัญต่างๆ ที่แรกคือ “วัดภูมินทร์” ตั้งอยู่ที่บ้านภูมินทร์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน ใกล้กับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน เดิมชื่อ “วัดพรหมมินทร์” เป็นวัดที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ คือ โบสถ์ และวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกันประตูไม้ทั้งสี่ทิศ แกะสลักลวดลายโดยช่างฝีมือล้านนา นอกจากนี้ฝาผนังยังแสดงถึงชีวิตและวัฒนธรรมของยุคสมัยที่ผ่านมาตามพงศาวดารของเมืองน่าน

โดยภายในวัดที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังชื่อดังที่รู้จักกันดีในชื่อ “ภาพกระซิบรักเมืองน่าน” ภาพปู่ม่านย่าม่าน ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ผู้ชายสักหมึก ผู้หญิงแต่งกายไทลื้ออย่างเต็มยศ ภาพวาดของหนุ่มสาวคู่นี้มีความประณีตมาก ภาพนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพที่งามเป็นเยี่ยมของวัดภูมินทร์

ภาพกระซิบรักเมืองน่าน ซึ่งเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ภาษาถิ่นเรียกว่า ฮูบแต้ม หรือรูปแต้ม โดยฝีมือของ หนานบัวผัน สล่าชาวไทลื้อ

 พวกเราเดินชมภาพภายในวัดต้องบอกเลยว่า สวยงามวิจิตรมากจริงๆ ใครที่มาน่านต้องมาวัดนี้เพราะถือว่าเป็นวัดสำคัญเลยทีเดียว

”ความรักของพี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวมันเหน็บหนาวจะฝากไว้กับท้องฟ้า อากาศ กลางหาวก็กลัวเมฆหมอกมาขลุ้มจะเอาฝากไว้ในข่วง ในคุ้ม ก็กลัวเจ้ากลัวนายมาเจอะเจอแย่งรักของพี่ไปก็เลยเอาฝากไว้ในอกในใจขอตัวพี่ให้มันร่ำให้อะฮิ อะฮี้ถึงน้องทุกยามสะดุ้งตื่นเววา”

อาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักษรล้านนา ถอดคำบรรยายภาพ

หลังจากนั้นพวกเราเดินทางไปกันต่อที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดภูมินทร์มากนัก

“ซุ้มต้นลีลาวดี” หรือ ต้นลั่นทม

ที่นี่มีจุดเด่นให้ถ่ายรูปนั่นคือจุด “ซุ้มต้นลีลาวดี” หรือ ต้นลั่นทม บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ที่ขึ้นเป็นแถวเรียงราย 2 ข้างทางเดิน แผ่ขยายกิ่งก้านโค้งเข้าหากัน ดูคล้ายอุโมงค์ต้นไม้ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะมาพักผ่อนหย่อนใจ ด้วย การเดินเล่นชมบรรยากาศที่ร่มรื่น และการเก็บภาพสวยๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเราได้มาถ่ายรูปเก็บไว้หลายรูปเลยทีเดียว

หลังจากนั้นท้องเริ่มร้อง เราจึงแวะเข้าไป “ร้านของหวานป้านิ่ม” ร้านขนมไทยขึ้นชื่อที่จังหวัดน่าน ของหวานในดวงใจของเรา คือ “ข้าวเหนียวดำเปียก” ข้าวนุ่มเข้ากันดีกับน้ำกะทิ ไม่หวานมาก ทุกวันนี้ยังหาร้านอร่อยแบบร้านป้านิ่มไม่ได้ แล้วอีกหนึ่งอย่างที่ต้องลองคือ “ลอดช่องสิงคโปร์” ตัวลอดช่องนุ่มนิ่ม น้ำกะทิหอม หวาน มัน อร่อยสุดๆ ถ้าใครมาที่นี่อย่าลืมแวะมารับประทานขนมร้านป้านิ่มนะคะ

ช่วงบ่ายพวกเราเดินทางต่อไปที่ “วัดพระธาตุเขาน้อย” แลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นปูชนียสถานเก่าแก่แห่งหนึ่งที่อยู่บนดอยเขาน้อย เมื่อมาถึงควรไปนมัสการพระพุทธมหาอุตมมงคลนันทบุรีศรีเมืองน่าน พระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ ที่นี่ถือเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเพราะเห็นเมืองน่านจากมุมสูง สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปห้ามพลาดเด็ดขาด ยิ่งถ้าไปตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีชมพูอมส้ม ยิ่งสวยสุดๆ ไปเลย สำหรับเราแล้ว แค่วันแรกยังฟินขนาดนี้ ยอมรับเลยว่าที่น่านทุกอย่างน่ารักไปหมดจริงๆ ทั้งผู้คน ของกิน ยังมีความเป็นธรรมชาติ และไม่ได้ปรุงแต่งมาก ได้มาใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่รีบไม่ร้อน ต่างจากวิถีชีวิตเมืองที่เราเป็นมาตลอด แค่วันแรกก็หลงรักจังหวัดนี้แล้ว

วันต่อมาพวกเราเดินทางขึ้นไปที่บ่อเกลือ ทางขึ้นบ่อเกลือค่อนข้างลดเลี้ยวเพราะเป็นทางขึ้นเขา ระหว่างทางทุกคนนอนพักผ่อน แต่เราไม่นอน เพราะสิ่งสำคัญคือเราชอบมองสองข้างทางระหว่างขึ้นไปเพราะการเดินทางทำให้เราได้เห็นบรรยากาศที่เราไม่เคยเห็น เป็นการมองจากอีกมุมหนึ่ง ระหว่างทางเราได้พบเจอกับต้นไม้ดึกดำบรรพ์ ที่พี่บอย พนักงานขับรถพาเราเที่ยวบอกว่า เป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นมาเป็นพันๆ ปีแล้ว และยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราไม่เคยเห็น ที่ไหนมาก่อน เหมือนต้นไม้ในเรื่องจูราสิกปาร์คมากๆ อากาศตอนที่เราไปอยู่ที่ประมาณ 15 องศา ยิ่งพอขึ้นเขาสูง ยิ่งหนาวขึ้นไปอีก

 ระหว่างทางเราได้ไปถ่ายรูปที่จุดชมวิว 1715 ซึ่งเป็นจุดแวะพักชมวิวที่สวยงาม เป็นจุดชมวิวที่สูงห่างจากระดับน้ำทะเล 1,715 เมตร มองเห็นภูเขาสลับซับซ้อน มีลานกางเต็นท์สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนระหว่างทาง อยู่ถนนเส้นทางระหว่างปัว-บ่อเกลือ จุดชมวิวนี้จะมีป้ายใหญ่เขียนตัวเลข 1715 เป็นสัญลักษณ์ ให้เราได้ถ่ายรูปเล่นกันด้วย

ไม่นานนักเราก็มาถึง “บ่อเกลือ” ซึ่งเป็นบ่อเกลือที่มีมาแต่โบราณตั้งอยู่ใน อ.บ่อเกลือ อยู่ห่างจากตัวเมืองน่าน ประมาณ 80 กิโลเมตร เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการทำเกลือบนภูเขาที่ไม่มีที่ใดเหมือน นั่นคือเกลือสินเธาว์ โดยชาวบ้านบ่อเกลือทำขึ้นเพื่อบริโภคและจำหน่ายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง ชาวบ้านมีการนำไปจำหน่ายยังกรุงสุโขทัย เชียงใหม่ เชียงตุง หลวงพระบาง รวมถึงสิบสองปันนา จีนตอนใต้ เมื่อก่อนนี้จะมีบ่อเกลือหลายบ่อ แต่เดี๋ยวนี้ได้แห้ง   ไปหมด เหลืออยู่เพียงสองบ่อเท่านั้น โดยการทำเกลือจะหยุดทำในช่วงเข้าพรรษาและจะทำอีกครั้งในช่วงออกพรรษา

มาถึงบ่อเกลือทั้งทีพวกเราต้องไม่พลาดชมการสาธิตวิธีการผลิตเกลือสินเธาว์ โดยการนำน้ำที่ตักขึ้นมาจาก ใต้ดินมาต้มจนเหลือแค่เกลือสินเธาว์ ใช้เวลาต้มประมาณ 6 ชั่วโมง สามารถทำเกลือได้ทั้งปี ภายในบ่อเกลือ จะมีสะพานเล็กๆ ข้ามแม่น้ำให้เราได้ไปเขียนขอพรในน้ำเต้าแล้วเอาไปผูกไว้ คล้ายกับการคล้องกุญแจที่เกาหลียังงัยอย่างงั้น แต่เปลี่ยนเป็นน้ำเต้าแทน ซึ่งต้องบอกเลยว่าน่ารักมาก นอกจากนั้นที่บ่อเกลือยังมีโฮมสเตย์ที่สามารถเข้าไปพักได้อีกด้วย แต่ที่น้องสาวเราชอบมากคือ ที่นี่มีสปาขัดตัวด้วยเกลืออีกด้วย แต่น่าเสียดายที่พวกเรามีเวลาน้อยจึงไม่ได้ลองทำ

ขอพรในน้ำเต้า คล้ายกับการคล้องกุญแจในเกาหลี

บ่อเกลือถือเป็นสถานที่สำคัญของจังหวัดน่านที่ใครมาไม่ควรพลาด สำหรับเราเป็นอะไรที่แปลกตาไปจากเดิมมาก โดยเฉพาะเด็กน้อยชาวเขาที่แต่งตัวชุดพื้นเมืองมาร่วมถ่ายรูปกับเหล่านักท่องเที่ยว สร้างความสุข  และความประทับใจ เมื่อได้แวะมาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้

หลังจากนั้นพวกเราไปต่อกันที่ “เสาดินนาน้อย” เสาดินนาน้อย เป็นแหล่งอารยธรรมที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยธรรมชาติ โดยมีเสาดินขนาดใหญ่ยกตัวสูงขึ้นมาจากพื้นดิน คล้ายกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ โดยเสาดินเหล่านี้เกิดขึ้นจากการกัดเซาะของน้ำและฝนเป็นเวลาหลายพันปี จนเกิดมาเป็นประติมากรรมที่งดงามดั่งเช่นในตอนนี้ สันนิษฐานว่าเสาดินนาน้อยมี อายุประมาณ 10,000-30,000 ปี และเคยเป็นก้นทะเลมาก่อน นอกจากนี้ ยังค้นพบกำไลหิน และขวานโบราณที่นี่ สำหรับเราแล้วเสาดินนาน้อยถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนเราอยู่นอกโลกเลย เหมือนอยู่บนดาวอังคาร ด้วยความที่เป็นสีเทาๆ น้ำตาล ของเสาดิน และความเวิ้งว้างทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เสาดินนาน้อย จังหวัดน่าน

ที่นี่ยังถือเป็นโลเคชั่นสุดงดงามในการถ่ายภาพ ด้วยแบ็กกราวด์ที่ดูแปลกตาของเสาดินต่างๆ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน ใครที่มาและเป็นสายติสท์เราขอแนะนำเลยได้รูปเก๋ๆ แน่นอน

วันนี้ตอนเย็นพวกเราได้ไปลองชิมอาหารเหนือ ต้องบอกเลยว่าเราชอบอาหารไทยมาก โดยเฉพาะอาหารเหนือ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มนี่คือของโปรดสุดๆ และยิ่งได้มานั่งกินแบบขันโตกแล้วยิ่งได้บรรยากาศ เพราะถ้าไม่ได้มาภาคเหนือจริงๆ คงไม่ได้มีโอกาสมานั่งรับประทานอาหารเย็นท่ามกลางบรรยากาศและเสียงดนตรีพื้นบ้านไทยแบบนี้ การได้กินอาหารอร่อยเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเรา เพราะเมื่ออิ่มท้อง ก็อิ่มใจไปด้วย และที่จังหวัดน่านไม่ว่าจะเลือกกินอะไรก็อร่อยถูกปากไปหมด

เช้าวันสุดท้าย เป็นวันที่เราตื่นเช้าที่สุดตั้งแต่ตีสามเพราะตั้งใจจะไปดูทะเลหมอก เป็นไฮไลท์สำคัญของทริปนี้ ตั้งแต่เราเกิดมายังไม่เคยเห็นทะเลหมอกด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง วันนี้รถออกจากโรงแรมเพื่อเตรียมเดินทางไปขึ้น “ดอยเสมอดาว” ตั้งแต่ตีสามครึ่งพวกเราทุกคนพร้อมด้วยความตื่นเต้น พี่บอย พนักงานขับรถบอกว่า วันนี้หมอกเยอะมากระหว่างทางไม่รู้จะได้เห็นทะเลหมอกชัดๆ ไหม พอได้ฟังอย่างนี้เราได้แต่ภาวนาอย่างเดียวว่าขอให้เราได้เห็นด้วยเถอะ

ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมง เพื่อขึ้นดอยเสมอดาว พวกเราไปถึงตอนที่ท้องฟ้ายังมืด และอากาศค่อนข้างหนาว ข้างบนดอยมีนักท่องเที่ยวมากางเต๊นท์นอนเป็นจำนวนมาก เรียงรายกัน รู้สึกอิจฉาพวกเค้ามาก เพราะคงได้ดูดาวสวยๆ ตอนกลางคืน ตื่นมาก็ได้เห็นทะเลหมอกแบบไม่ต้องเร่งรีบอะไร เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าจริงๆ

ทะเลหมอกจังหวัดน่าน ดอยเสมอดาว

นั่งรอสักพักสิ่งมหัศจรรย์ตรงหน้าก็ปรากฏ เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมาทักทายเรา ท้องฟ้าเปลี่ยนสี จากสีดำเป็นสีชมพู ม่วง ส้ม ค่อยๆ ไล่สีคล้ายกับสายไหม เวลานั้นเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับเรา ภาพที่อยู่ตรงหน้าสะกดสายตาทุกคู่ ทุกคนถ่ายรูป ถ่ายวิดิโอ เรามัวแต่มองความสวยงามจนลืมถ่ายรูปไว้ โชคดีทีน้องถ่ายไว้ ต้องบอกว่าสวยงามจริงๆ ท้องฟ้า และเมฆเหมือนอยู่ระนาบเดียวกับเรา มองออกไปเมฆเหมือนคลื่นที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปมา ประกอบกับสีท้องฟ้า เป็นช่วงเวลาที่เราจะไม่มีวันลืมเลือน

ทะเลหมอกสอนเราให้เรียนรู้ถึงการรอคอยและอดทน เพราะธรรมชาติไม่สามารถบังคับได้ มนุษย์กำหนดทุกอย่ างได้ยกเว้นธรรมชาติ และธรรมชาติก็ไม่ควรถูกทำลายด้วยมนุษย์เช่นกัน ธรรมชาติควรดำรงอยู่ในที่ที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ นก ดอกไม้ ทุกสรรพสิ่งล้วนสวยงามในที่ที่พวกเค้าอยู่ หลายครั้งที่เราพยายามเอาชนะและเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นไปตามใจเราต้องการ ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้วว่า วันนี้ธรรมชาติสวยงามในแบบที่เค้าเป็น และ ไม่จำเป็นต้องไปไกลที่ไหนเลย ประเทศไทยเรานี่แหละมีของดีเยอะมากมาย

บางครั้งเราลืม มัวแต่ไปที่อื่น จนลืมความสวยงามในบ้านเรา ซึ่งแท้จริงแล้วทุกจังหวัดของประเทศเรามีสิ่งสวยงาม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมประเทศเราจึงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวเยอะที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก เพื่อนชาวต่างชาติเราทุกคนที่มาประเทศไทยจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รักประเทศไทยเพราะผู้คนน่ารัก อาหารอร่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราภูมิใจและอยากให้ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งนี้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา หรือแม้กระทั่งรอยยิ้ม ที่เราได้ชื่อว่า เป็นสยามเมืองยิ้ม อยากให้สิ่งนี้ยังคงอยู่ เพราะสำหรับเราแล้วคงไม่มีที่ไหนสุขใจเท่ากับเที่ยวในประเทศไทย ประเทศ บ้านเกิดของเราเอง

ปภาพินท์ วีระภุชงค์
ผู้เขียน

ออม ปภาพินท์ วีระภุชงค์ ผู้เขียนหนังสือ “แล้ววันหนึ่งเราจะเติบโต” ซึ่งเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความรัก ความสุข ความทุกข์ ความเศร้า โลกที่ไม่ได้มีเพียงด้านเดียวเสมอ ทุกวันนี้เธอยังเรียนรู้อยู่ เพราะทุกวันที่เธอเจอไม่มีอะไรซ้ำเดิม ทุกวันคือวันเเปลกใหม่สำหรับเธอ และไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่นั่นก็ทำให้เธอเเข็งแกร่งขึ้น และเรียนรู้ที่จะทำทุกวันให้ดีที่สุด
…เพราะเธอไม่อยากรู้สึกเสียดายเวลาแม้แต่นิดเดียว!